แม้การเดินทางมาพม่าครั้งนี้ ผมจะใช้เวลาเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลเป็นเวลานาน แต่ไม่ใช่สำหรับเมืองแปร เพราะเหมือนกับที่แท่งบอก เพลงผู้ชนะสิบทิศ มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “เจ็บใจนัก คนรักโดนรังแก ข้าจะเผาเมืองแปรให้มันวอดวาย” ในเมื่อเมืองแปรถูกบุเรงนองเผาเสียวอดวายแล้ว จะยังหลงเหลือสิ่งใดให้ได้ชม จึงทำให้ผมไม่คิดจะหาข้อมูลและสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้ แต่ไม่เป็นไร เรายังมี เวอเวนคา พี่สาวเจ้าของเกสท์เฮ้าส์ที่อัธยาศัยดี เป็นตัวช่วย ซึ่งเวอเวนคาก็แสนดี รีบกุลีกุจอหาแผนที่และเอกสารข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองแปรให้แก่เรา
ก่อนที่เราจะลาเวอเวนคาเพื่อกลับขึ้นห้องพัก เราสอบถามว่าเหตุใดเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และไฟบางดวงในห้องจึงไม่สามารถใช้ได้ เธอตอบว่าสามารถใช้ได้ตั้งแต่ 5 ทุ่มถึง 6 โมงเช้า ทั้งนี้เนื่องจากกำลังไฟที่มาจากรัฐบาลนั้นไม่เพียงพอ หลัง 5 ทุ่มไฟจากรัฐบาลจะหยุดจ่าย แล้วทางเกสท์เฮ้าส์จะเปลี่ยนมาใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟแทน ซึ่งไม่เฉพาะเมืองแปรเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องกำลังไฟ แต่ทุกเมืองที่เราไป รวมถึงเมืองธุรกิจอย่างย่างกุ้ง ก็ประสบกับปัญหานี้
ทันทีที่กลับเข้าห้องพัก แท่งก็หลับด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง ปล่อยให้ผมนั่งศึกษาข้อมูลที่เวอเวนคาให้มา จนในที่สุดดวงตาก็เริ่มหรี่ลง และหลับไปในที่สุด แต่ผมก็สะดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อไฟในห้องสว่างโล่ง พร้อมการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่ส่งเสียงดังในเวลา 5 ทุ่ม
เพราะมีเวลาในเมืองแปรอย่างจำกัด แต่ที่เที่ยวนั้นมีมาก เราจึงออกท่องเมืองตั้งแต่พระจันทร์ยังไม่ลาจากท้องฟ้า ผมหยิบแผนที่เมืองแปรที่ได้มาจากเวอเวนคาออกมาดู ตลาดเช้านั้นอยู่ไม่ไกลจากเกสท์เฮ้าส์มากนัก โดยอยู่ทางทิศเหนือติดแม่น้ำอิรวดี แต่แทนที่เราจะเดินตรงสู่ตลาดโดยใช้ถนนบาซาร์ (Bazaar) ซึ่งอยู่หน้าเกสท์เฮ้าส์ เรากลับเลือกเดินบนถนนลานมาดอว์ (Lanmadaw) ซึ่งเป็นถนนสายหลักอีกสายที่ตัดตรงมาจากอนุสาวรีย์นายพลอองซาน ซึ่งแม้จะอ้อมกว่าเล็กน้อย แต่ระหว่างทางสามารถแวะเที่ยวชมวัด 2 แห่ง เริ่มจากวัดคิงพยา (King Paya) ภายในวิหารมีพระพุทธรูปลักษณะคล้ายพระมหามัยมุนีแห่งเมืองมัณฑะเลย์ แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ส่วนบนหลังคาวิหารนั้น มีเจดีย์สีทองประดับอยู่
อีกวัดหนึ่งคือ วัดชเวโฟน พวิน พยา (Shwe Phone Pwint Paya) ซึ่งตั้งอยู่หน้าทางเข้าตลาด วัดแห่งนี้มีเจดีย์ทองทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ แต่คงด้วยความเก่าแก่ทำให้ทองที่หุ้มองค์เจดีย์หลุดร่อนไม่งามอร่ามนัก และแม้ในเวลานี้จะเพิ่ง 6 โมงเศษ แต่ก็เริ่มมีชาวพม่าที่ตื่นแต่เช้า เข้ามานั่งสมาธิและนมัสการพระประธานภายในวิหาร
จากความเงียบสงบภายในวัด บรรยากาศเปลี่ยนเป็นความคึกคักและพลุกพล่านของผู้คน ทั้งพ่อค้า แม่ค้า และชาวเมืองแปรที่ออกมาจับจ่ายกันที่ตลาดเช้า ภายในอาคารขนาดใหญ่สีเหลืองจำนวน 6 อาคาร จำหน่ายพวกของชำ ส่วนภายนอกอาคารมีบรรดาผัก ผลไม้สดๆตั้งขายอยู่มากมาย ลองเดาดูสิครับว่าผักอะไรมีขายมากที่สุด ... ถูกต้องแล้วครับ กะหล่ำปลีนั่นเองที่มีขายมากที่สุด เพราะดูเหมือนชาวพม่าจะไม่นิยมกินผักอื่นนอกจากกะหล่ำปลี ที่ถูกนำมาซอยแล้วราดซอสพริก จนกลายเป็นเครื่องเคียงยอดฮิตในเกือบทุกรายการอาหาร
นอกจากผัก ผลไม้แล้ว ภายในตลาดยังมากไปด้วยดอกไม้สวยๆ โดยเฉพาะเบญจมาศ ที่พุทธศาสนิกชนชาวพม่านิยมซื้อไปบูชาพระ และปลาสดๆตัวโตๆที่จับมาจากแม่น้ำอิรวดี มหานทีที่ไหลผ่านตัวเมือง นอกจากการเดินชมบรรดาสินค้าที่วางขายในตลาดแล้ว ผมยังสังเกตเห็นว่าชาวพม่านิยมเทินของไว้บนศีรษะ เราจึงเห็นทั้งกระบุง กระจาดใบใหญ่ ตั้งอยู่บนศีรษะของชาวพม่า โดยเฉพาะบรรดาผู้หญิงชาวพม่านั้น เดินหลังตรง ตัวปลิว เทินของเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดอยู่บนศีรษะ
เดินชมตลาดจนรอบแล้ว แต่สุดท้ายเราก็เดินคอตก พกความผิดหวังออกมา เพราะแม้ตลาดเช้าเมืองแปรจะใหญ่และคึกคักแค่ไหน แต่ก็ปราศจากร้านอาหาร โดยมีขายเฉพาะของสด ที่ต้องซื้อกลับไปปรุงเอง
เรานำความผิดหวังจากตลาดเช้า ไปโยนทิ้งที่ริมแม่น้ำอิรวดี ซึ่งในเวลานี้แสงแดดยามเช้า เผยให้เราเห็นความงามและสงบนิ่งของสายน้ำได้อย่างชัดเจน และสายน้ำสายนี้จะเป็นเพื่อนการเดินทางกับเรา ไปจนถึงมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีแห่งกษัตริย์พม่าองค์สุดท้าย
เราเดินเลียบแม่น้ำอิรวดี จนมาถึงร้านค้าใกล้ๆตลาดค่ำที่เมื่อคืนเรามาฝากท้อง บริเวณนี้มีร้านอาหารให้เลือกอยู่ 2-3 ร้าน แน่นอนเราเลือกเข้าร้านที่ลูกค้ามากสุด เพราะน่าจะอร่อยที่สุด โดยเดินดูชาวพม่าที่กำลังนั่งกินอาหารบนโต๊ะตัวเตี้ยๆ ส่วนใหญ่จะกินปาท่องโก๋ตัวโตคู่กับกาแฟ แต่มาพม่าทั้งที น่าจะกินอาหารพม่าแท้ๆ จึงบุกเข้าไปถึงในครัว เพื่อสำรวจว่ามีอะไรน่ากินบ้าง แล้วเราก็ได้โมกิงฮาหรือขนมจีนพม่า มากินคู่กับ ซามูซา ของทอดยอดนิยมรูปทรงเหมือนกะหรี่พั้ฟ ซึ่งแทนที่จะกินแยกกัน แม่ครัวกลับเอากรรไกรมาตัดซามูซาให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่ลงในโมกิงฮา ดูแปลกดีที่เอาของกรอบมาใส่ในอาหารประเภทน้ำ แต่ก็คงคล้ายๆกับก๋วยเตี๋ยวน้ำบ้านเราที่นิยมใส่เกี๊ยวกรอบลงไป
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.53 น.