รถสองแถวมาส่งเราที่สถานีขนส่งเมืองแปร ซึ่งยังพอมีเวลาให้เรากินอาหารก่อนที่รถไปจองปะดองจะออกในเวลาบ่ายสาม

ร้านอาหารหน้าสถานีขนส่งซึ่งมีอยู่ 3 – 4 ร้านเป็นจุดหมายของเรา ราเลือกเข้าร้านที่มีลูกค้านั่งกินอาหารอยู่ เนื่องจากจะได้ดูว่าเขากินอะไรกัน หากดูน่ากินจะได้สั่งตาม ซึ่งดูแล้วอาหารหน้าตาเหมือนข้าวผัดดูจะน่ากินที่สุด โดยแม่ครัวเรียกว่า ทะเมียนโตะ ราคาจานละ 300 จ๊าต

ในระหว่างที่นั่งรอ ผมจึงเดินไปดูแม่ครัวทำทะเมียนโตะ จึงได้รู้ว่าอาหารที่เราสั่งนั้นไม่ใช่ข้าวผัด แต่เป็นข้าวคลุก ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจคือ แม่ครัวนั้นใช้มือคลุกข้าวโดยไม่สวมถุงมือ นี่เพิ่งเป็นวันที่สองของการเดินทาง หากท้องเสียตั้งแต่วันแรกๆ การเดินทางในวันต่อๆไปคงจะลำบาก แต่ไหนๆก็สั่งไปแล้ว อีกทั้งแม่ครัวอุตส่าห์ล้างมือก่อนลงมือคลุกข้าว จะตัดสินใจกินสิ่งที่ตัวเองสั่ง แม้จะยังตะขิดตะขวงใจว่าจะท้องเสียหรือไม่ แต่ทะเมียนโตะจานนี้ก็รสชาติอร่อยไม่ใช่เล่น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะรสจากมือของแม่ครัวหรือเปล่า

เราเดินแบกเป้ไปยังรถบัสที่เราจองตั๋วไว้ แม้มองจากภายนอกจะดูเหมือนรถแอร์ แต่ก็ไม่มีแอร์อย่างที่คิด โดยเป็นรถบัส 60 ที่นั่ง สำหรับจำนวนที่นั่งซึ่งมากกว่ารถบัสในเมืองไทยนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะเป็นรถบัส 2 ชั้น หรือมีขนาดใหญ่กว่า แต่เป็นเพราะเบาะนั่งนั้นแคบกว่าทำให้มีจำนวนแถวมากกว่า อีกทั้งช่องทางเดินตรงกลางก็มีเก้าอี้เสริมแบบพักเก็บได้ติดไว้ตลอดทางเดิน


แม้บรรยากาศภายในรถจะค่อนข้างอึดอัด แต่ด้วยทิวทัศน์สองข้างทางที่เลียบแม่น้ำอิรวดี โดยบางช่วงขนาบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ จนเกิดเป็นอุโมงค์ต้นไม้ที่น่าอัศจรรย์ จึงทำให้ความรู้สึกอึดอัดคลี่คลายลง อีกทั้งภายในรถยังเปิดหนังพม่าสลับกับมิวสิควีดีโอเพลงพม่าให้ชมตลอดทาง ซึ่งทุกครั้งที่เปิดมิวสิควีดีโอ จะต้องมีผู้โดยสารชาวพม่าร้องตาม จนทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องคาราโอเกะ


สำหรับหนังพม่านั้น ผมดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะฟังไม่ออก แต่สำหรับแท่งแล้ว แม้จะดูไปหลับไปก็สามารถสรุปเนื้อเรื่องของหนังให้ผมฟังได้เป็นฉากๆ อีกทั้งยังวิจารณ์พระเอกพม่าว่าหน้าตาและรูปร่างไม่ดีเอาเสียเลย เพราะถ้าไม่อ้วนเกินไปก็ผอมเกินไป จนทำให้แท่งคิดว่า หากเขาอยู่ประเทศพม่านานกว่านี้ หน้าตาน้องๆเคน ธีรเดชอย่างเขา คงมีแมวมองมาทาบทามให้เป็นพระเอกหนังพม่าแน่ๆ

ในเวลา 3 ทุ่ม รถบัสจอดให้กินอาหารค่ำที่ร้านอาหารข้างทาง เป็นข้าวสวยกินกับสารพัดผักจิ้มน้ำพริก และหลังจากนั้นรถก็จอดอีกเป็นระยะ เพื่อให้ผู้โดยสารได้ลงไปปลดทุกข์ที่ข้างทาง ซึ่งพม่าคงเป็นชาติเดียวกระมัง ที่ผู้ชายต้องนั่งลงเก็บดอกไม้เหมือนผู้หญิง เพราะนุ่งโสร่ง

แม้เบาะจะปรับเอนนอนไม่ได้ แต่เราก็หลับท่ามกลางความมืดมิดของเส้นทางที่รถแล่นผ่าน จนเวลาตี 3 เราจึงสะดุ้งตื่น ด้วยเสียงตะโกนอันดังของเด็กรถว่า จองปะดอง (Kyaukpadaung) ซึ่งผู้โดยสารทั้งคันรถนั้นมีเราเพียงแค่ 2 คนที่ลงที่นี่ แล้วระยะทาง 350 กม. กับเวลาเดินทางที่นานถึง 12 ชั่วโมง ก็สิ้นสุดลง
เราเดินไปยังร้านกาแฟ ใกล้ๆกับที่รถบัสจอด เพื่อสอบถามเด็กหนุ่มลูกเจ้าของร้านถึงการต่อรถไปยังพุกาม เด็กหนุ่มตอบว่ารถจะมาที่นี่เวลาตี 4 โดยให้นั่งรอที่หน้าร้าน และเพื่อเป็นการฆ่าเวลา เราจึงสั่งกาแฟร้อนมาดื่มแก้ง่วง

เวลาค่อยๆถูกเราฆาตกรรมไปเรื่อยๆ จนถึง 03.50 น. เราก็ยังคงนั่งจิบกาแฟฆ่าเวลาอย่างสบายอารมณ์ แล้วอยู่ๆ ชายเจ้าของร้านกาแฟอีกร้านซึ่งอยู่ติดกันก็เดินมาคุยกับเรา ว่าจะไปพุกามไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังนั่งสบายอารมณ์จิบกาแฟอยู่ได้ เรางงๆกับคำพูดของเขา ก็ในเมื่อรถไปพุกามจะผ่านหน้าร้านที่เรากำลังนั่งอยู่ แล้วจะให้เราไปนั่งที่ไหน เขาส่ายหน้าแล้วตอบว่า รถไปพุกามไม่ได้ผ่านที่นี่ แต่ต้องเดินไปยังสี่แยกกลางเมืองแล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกราว 10 นาที ให้ตายสิ ! นี่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 นาที ก็จะตี 4 แล้ว ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาบอก มีหวังเราได้ตกรถไปพุกามแน่ !
เราแบกเป้เดินจ้ำอ้าวไปตามถนนสู่สี่แยกกลางเมือง แล้วเลี้ยวซ้ายตามที่ชายผู้นั้นบอก ซึ่งในเวลานั้นเราไม่รู้หรอกว่า เดินไปอีก 10 นาทีตามที่เขาบอกนั้น มันหมายถึงตรงไหน ท่ามกลางความมืดมิดและสับสน รถม้าคันหนึ่งกำลังควบผ่านมา เราจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปถามทาง คุณลุงผู้ขี่รถม้าบอกให้เดินตรงไปยังสี่แยกใหญ่เบื้องหน้า รถไปพุกามจะผ่านบริเวณนั้น จากการฆ่าเวลา ในเวลานี้เรากำลังเดินแข่งกับเวลา ซึ่งดูเหมือนเรากำลังจะแพ้ เพราะเข็มวินาทีนั้นดูเหมือนจะเดินเร็วกว่าขาของเรา ไม่ทันแล้ว เวลาล่วงเลยตี 4 ไปแล้ว เรามาถึงสี่แยกนั้นในเวลา 04.10 น.

เรายืนอยู่ที่สี่แยกด้วยหัวใจที่คอยลุ้นขอให้รถไปพุกามยังไม่ได้แล่นผ่านไป แล้วรถบัสคันใหญ่ก็เคลื่อนตัวผ่านมา ท่ามกลางความมืดมิด กระจกหน้ารถติดอักษรพม่าที่อ่านไม่ออก จึงไม่อาจรู้ได้ว่ารถคันนี้จะไปไหน แต่อย่างไรเสีย ในเมื่อความหวังกำลังเคลื่อนตัวผ่านมา เราจึงไม่รอช้าที่จะทุ่มสุดตัวเพื่อโบกรถให้จอด แล้วความโชคดีก็เป็นของเราอีกครั้ง เมื่อรถคันนี้เป็นรถไปพุกามที่เราเฝ้าคอย และแล้วการเดินทางอย่างนอกแผน ก็กลับสู่แผนการเดินทางที่วางไว้สักที
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันพฤหัสที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 10.49 น.