ผมกลับขึ้นไปนั่งรถม้าด้านหน้า ในตำแหน่งข้างโกเล็ง ในขณะที่แท่งเลือกนั่งบนเบาะที่กว้างขวางด้านหลัง ซึ่งกว้างพอให้แท่งใช้เป็นที่นอนในบางช่วงเวลา โกเล็งควบซันดาไปตามถนนที่เชื่อมระหว่างยองอูกับพุกาม แต่ไม่นานก็เลี้ยวขวาไปยังเซอจาฮิทพยา ซึ่งไม่ปรากฏชื่อในแผนที่ โกเล็งบอกว่า นี่เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุด 1 ใน 5 จุดชมวิว ที่ยังอนุญาตให้ขึ้นไปชมวิวบนเจดีย์

เซอจาฮิทนั้นเป็นเจดีย์ที่สร้างอยู่บนวิหาร หากแบ่งตามรูปแบบการสร้างแล้ว ควรเรียกว่าวัด ไม่ใช่เจดีย์ เพราะสามารถเข้าไปภายในได้ โดยภาษาพม่าเรียกลักษณะการสร้างเจดีย์บนวิหารว่า พยา ซึ่งหลังจากนี้ เราจะได้พบวัดที่มีคำว่า พยา ต่อท้ายอีกหลายแห่ง

ภายในเซอจาฮิทมีพระพุทธรูปที่สลักจากหิน ใกล้ๆพระพุทธรูปมีช่องบันไดที่ค่อนข้างมืด แต่ในความมืดมีแสงจากไฟฉายของเด็กตัวน้อยที่ส่องนำทาง ซึ่งผู้มาเยือนสามารถตอบแทนแสงสว่างนี้ได้ด้วยเงินจำนวนเล็กน้อย และจะมีรอยยิ้มของเด็กน้อยที่คืนกลับให้เราก่อนจากลา

บนเซอจาฮิท สายตาผมกำลังทอดมองทะเลเจดีย์ที่ดารดาษไปทั่วทุ่งกว้าง ในอดีตนั้นเมืองพุกามแห่งนี้เคยมีเจดีย์และวัดกว่า 4 พันองค์ เนื่องจากชาวพม่าเชื่อว่า การสร้างเจดีย์เป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เจดีย์จำนวนมากจึงถูกสร้างขึ้นแทบทุกวัน ทั้งโดยกษัตริย์ ขุนนาง จนถึงชาวบ้านทั่วไป แต่เวลาที่ผ่านไปเกือบพันปี ทำให้เจดีย์กึ่งหนึ่งพังทลาย จนในปัจจุบันมีเจดีย์เหลืออยู่ประมาณ 2 พันองค์ แต่นั่นก็มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ชเวสิกอง ที่กำลังส่องแสงสีทองจากการสะท้อนแสงอาทิตย์เบื้องบน

ก่อนออกจากเซอจาฮิท แท่งเกิดติดใจภาพวาดแบบใช้ทรายพ่น โดยชายผู้ขายบอกว่าเป็นงานฝีมือที่เขาทำเอง อีกทั้งภาพแบบใช้ทรายพ่นนี้ สามารถพับเก็บได้โดยไม่เกิดการแตกของลวดลาย ดูแล้วน่าอุดหนุนยิ่งนัก แถมคนขายยังบอกว่างานฝีมือเช่นนี้มีซ้ำกันไม่กี่ชิ้น ภาพพ่นด้วยทรายรูปจักรราศีของพม่าจึงถูกแท่งอุดหนุนไป 1 ภาพ ด้วยฝีปากในการต่อรองของผมจาก 12 เหลือ 6 เหรียญสหรัฐ

จากเซอจาฮิท วัดที่ปราศจากชื่อในแผนที่ท่องเที่ยว สู่ ติโลมินโล (Htilominlo) วัดที่ผู้มาเยือนพุกามไม่ควรจะพลาดชม ทางเข้าติโลมินโลมากไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก หนึ่งในนั้นคือบรรดาภาพวาด รวมถึงภาพที่เกิดจากการพ่นด้วยทราย และที่สำคัญในบรรดาภาพพ่นด้วยทรายเหล่านั้น มีรูปจักรราศีเหมือนที่แท่งซื้อ ยังกะทำออกมาจากพิมพ์เดียวกัน เห็นที่งานฝีมือที่ซ้ำกันไม่กี่ชิ้น คงจะไม่จริงเสียแล้ว


เราเดินเข้าไปภายในวิหารที่สร้างอย่างใหญ่โต โดยมีเจดีย์ล้อมรอบถึง 5 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน อันหมายถึง แรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของพม่า ที่แม้เท้าทั้งสองจะยืนอยู่บนพื้นดิน แต่จิตวิญญาณอันแรงกล้านั้นมุ่งสู่สรวงสวรรค์ที่อยู่เบื้องบน

ติโลมินโล สร้างขึ้นในปีพ.ศ.1761 โดยพระเจ้านาตองมยา กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์พุกาม ด้วยความใหญ่โต และสูงถึง 46 เมตร ทำให้ติโลมินโลเคยเป็นจุดชมวิวที่ดี แต่น่าเสียดายที่วันนี้ ทางการพม่าปิดบันไดทางขึ้น เพื่อบีบให้นักท่องเที่ยวไปใช้บริการหอคอยที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ พร้อมให้เหตุผลที่ฟังขึ้นว่า เหล่าเจดีย์ขนาดใหญ่นั้น โครงสร้างมีรอยร้าว จึงไม่ปลอดภัยสำหรับการขึ้นไปชมวิวบนเจดีย์ แต่ก็ดูเหมือนว่าหอคอยที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่ได้รับความนิยม เพราะนักท่องเที่ยวก็ยังคงนิยมขึ้นไปชมวิวบนเจดีย์ (คงเพราะไม่ต้องเสียเงิน) โดยเปลี่ยนไปขึ้นเจดีย์เล็กเจดีย์น้อยแทน จนหอคอยแห่งนี้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างแปลกปลอมที่ตั้งโด่เด่อยู่ท่ามกลางทะเลเจดีย์


แม้ในวันนี้ติโลมินโลจะพ้นจากสถานะจุดชมวิวที่ดีที่สุดจุดหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ภายในติโลมินโลก็มากไปด้วยความงดงามของภาพวาดพระพุทธรูป และองค์พระพุทธรูปศิลปะพุกามที่เป็นสีทองอร่ามไปทั้งองค์
จากติโลมินโล ลึกเข้าไปตามทางดิน เสียงกุบกับของรถม้ากำลังพาเราสู่ คายมินกาพยา (Khay Min Gha Phaya) ซึ่งเป็นวิหารเจดีย์ และมวลหมู่เจดีย์อีกนับสิบ โดยคายมินกาพยานั้นเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิว แต่ที่นี่ไม่มีเด็กๆคอยส่องไฟฉายนำทาง ผมจึงต้องเดินคลำทางไปตามขั้นบันได เพื่อขึ้นสู่ด้านบน ในขณะที่แท่งเลือกนอนรอบนเบาะอันกว้างขวางของรถม้า

จุดชมทะเลเจดีย์ของคายมินพยาเหมือนเซอจาฮิท ตรงที่ มองเห็นทะเลเจดีย์ได้ดารดาษตลอด 360 องศา แต่ต่างกันตรงที่ คายมินพยาตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับเขตเมืองเก่าพุกาม จึงทำให้มองเห็นเจดีย์แต่ละองค์ได้ใกล้ชิดมากกว่า และนอกจากการใช้กล้องเพื่อเก็บภาพอันน่าตื่นตาแล้ว ผมเลือกใช้เวลาและสองตา เก็บภาพอย่างช้าๆไว้ในความทรงจำ

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 17.15 น.

ความคิดเห็น