โกเล็งควบซันดาหายไปในความมืด เรากลับมาที่ยองอูอีกครั้งหลังจากเวลาเกือบ 12 ชั่วโมงแห่งการท่องอาณาจักรพุกามผ่านพ้นไป

เราเดินหาอาหารเย็น ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะหาได้ไม่ยาก เพราะยองอูเป็นแหล่งที่พักของนักเดินทางที่มาเยือนพุกาม แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เพราะดูเหมือนตัวเมืองจะเริ่มหลับใหลพร้อมๆกับการตกดินของพระอาทิตย์ ในเวลานี้จึงมีร้านอาหารเปิดเพียงแค่ไม่กี่ร้านโดยเราเลือกเข้าร้านที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมที่เราพัก

แม้จะมีเราเพียงแค่ 2 คนเป็นลูกค้า แต่ภายในร้านก็มากไปด้วยสมาชิกของครอบครัว ที่กำลังนั่งล้อมวงดูโทรทัศน์กันอย่างอบอุ่น เห็นเช่นนั้น จึงทำให้เราอดคิดถึงบ้านไม่ได้



เพื่อแก้อาการคิดถึงบ้าน เราจึงเลือกสั่งข้าวผัด ซึ่งมีน่าตาและรสชาติไม่ต่างจากข้าวผัดเมืองไทย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าวผัดพม่ามีมากกว่า นั่นคือ บรรดาเครื่องเคียงต่างๆที่มีมากจนเต็มโต๊ะ จึงทำให้ในเวลานี้โต๊ะตัวเล็กๆที่เรานั่ง เต็มไปด้วยน้ำพริกถึง 4 ประเภท น้ำซุป 1 ถ้วย ผักต้ม 1 ถ้วย ผักดิบ 2 จาน และผักดอง(คล้ายกิมจิของเกาหลี) อีก 2 จาน ซึ่งทั้งหมดนี้ราคาเพียง 1300 จ๊าตเท่านั้น!

เราเดินพุงกางกลับอีเดนโมเทล แต่ก่อนที่จะขึ้นห้องพัก ผมเดินไปหาผู้จัดการโรงแรม และขอบัตรเข้าเมืองพุกามที่เมื่อเช้าเราฝากซื้อในราคา 10 เหรียญสหรัฐ ผู้จัดการโรงแรมถามเราว่า จะเอาไปทำไม ในเมื่อพรุ่งนี้จะไปแล้ว ผมตอบว่าต้องการเก็บไว้เป็นที่ระลึก ผู้จัดการโรงแรมจึงเดินหายเข้าไปด้านในนานพอควร ก่อนจะกลับมาพร้อมบัตรเข้าเมืองพุกาม 2 ใบ
ผมกลับขึ้นห้องพัก และส่งบัตรใบหนึ่งให้แท่ง จากนั้นจึงนำบัตรเข้าพุกามอีกใบที่มีชื่อผมระบุอยู่บนบัตรขึ้นมาดู แต่สิ่งที่เห็นบนบัตร ทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว เพราะวันที่กับชื่อผมนั้นถูกเขียนทับบนรอยน้ำยาลบคำผิด ที่ป้ายปิดวันที่และชื่อเดิมที่เคยเขียนไว้ ผู้จัดการโรงแรมโกงเงินเราสองคนเสียแล้ว เงิน 20 เหรียญสหรัฐของเราไม่ได้ถูกส่งให้รัฐบาลพม่า แต่เข้ากระเป๋าของผู้จัดการไปแบบเต็มๆ

แท่งบ่นว่าเห็นผู้จัดการหน้าตาซื่อๆ ไม่น่าจะเป็นคนขี้โกง ผมเห็นด้วยกับแท่ง โดยคิดว่า โกงกันอย่างนี้ ต้องลงไปต่อว่าเสียหน่อย แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะวางเฉย แล้วเก็บบัตรนั้นลงกระเป๋า โดยไม่ได้สนใจมันต่อไป เพราะแม้ผู้จัดการจะไม่ได้โกงเรา เราก็ต้องเสียเงินจำนวนนั้นอยู่ดี คิดอีกที ผู้จัดการนั้นไม่ได้โกงเรา แต่โกงรัฐบาลของตนเอง หากคำพูดของสื่อต่างประเทศเป็นจริง ที่ว่ารัฐบาลทหารพม่าปกครองประเทศแบบเผด็จการ และปิดกั้นประชาธิปไตยของประชาชน ก็สมควรแล้ว ที่เงินจำนวนนั้นควรอยู่ในมือของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองประชาชนเหล่านั้น


ความถูกต้องทางโลก กับความถูกต้องทางธรรม จึงอาจขัดแย้งกันในบางครั้ง และไม่รู้ว่าเพราะความเหนื่อยล้าจากการท่องอาณาจักรพุกามภายใน 1 วัน หรือเพราะการปล่อยวาง คืนนี้ผมจึงหลับสนิทจนรุ่งเช้า
เช้าวันนี้เราไม่ต้องออกไปหาอาหารเช้าที่ตลาด เพราะราคาที่พักนั้นรวมอาหารเช้าด้วย แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะแวะเดินไปชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวเมืองยองอู โดยมีปลายทางอยู่ที่ท่าเรือริมแม่น้ำอิรวดี ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่พอควร แม้ในเวลานี้ผมยังไม่หิว แต่ก็หาเรื่องเข้าไปพูดคุยกับชาวพม่า โดยการแวะเข้าไปซื้อขนมชื่อแปลกๆ ที่พี่สาวคนขายเรียกว่า โมปลาสปะเล็ต โดยเป็นแป้งนำมาย่าง กินเปล่าๆรสชาติไม่อร่อย เพราะมีเพียงรสเค็ม แต่หากกินคู่กับกาแฟร้อนๆ เหมือนกับที่ชาวพม่าหลายคนกำลังกิน เชื่อว่ารสชาติคงจะดีขึ้น

นอกจากขนมชื่อแปลกนี้แล้ว ผมยังได้ทักทายพูดคุยกับชาวพม่า โดยเมื่อผมบอกว่ามาจากประเทศไทย ชาวพม่าที่นั่งล้อมวงนั้นต่างรู้สึกตื่นเต้น พร้อมพูดว่า “โยเดีย โยเดีย” อันเป็นคำที่ชาวพม่าใช้เรียกคนไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นการเรียกเพี้ยนจากคำว่า “อยุธยา” นั่นเอง และแม้ในวันนี้ อยุธยาจะไม่ได้เป็นเมืองหลวงของประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่ชาวพม่าก็ยังคงเรียกคนไทยว่า โยเดีย เหมือนเช่นเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน


ไม่ใช่แค่เพียงคำว่า “โยเดีย” เท่านั้น แต่หลายๆสิ่งในพม่า ก็ยังคงเหมือนหนังที่ฉายวนซ้ำมานับร้อยๆปี ไม่ว่าจะเป็นวัวเทียมเกวียน ที่วิ่งขนสินค้าระหว่างตลาดยองอู กับ ท่าเรือ ซึ่งดูๆไปแล้ว มีปริมาณมากกว่ารถยนต์เสียอีก และที่สุดปลายทางท่าเรือริมสายน้ำ หญิงชาวพม่าหลายคนกำลังใช้ภาชนะตักน้ำขึ้นจากแม่น้ำอิรวดี แล้วหาบไปใช้ในครัวเรือน ภาพที่ผมเห็นในเวลานี้ บางทีอาจเป็นภาพเดียวกับเหมือนหลายร้อยปีก่อน

แม้วันนี้อาณาจักรพุกามจะล่มสลาย และมีเรื่องราวต่างๆมากมายผ่านเข้ามาตามกาลเวลา แต่สิ่งเหล่านั้นแทบไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ได้เลย

ผมเดินกลับโรงแรม ผ่านบ้านเรือนเก่าๆยุคอาณานิคม และเหล่าสามเณรที่เพิ่งกลับจากการบิณฑบาต ทีแรกคิดว่า ต้องไปปลุกแท่งในห้องพัก แต่กลายเป็นว่าแท่งกำลังยืนรอผมอยู่หน้าห้อง โดยบอกว่า ผู้จัดการโรงแรมเพิ่งเดินมาตามให้ขึ้นไปกินอาหารเช้าที่ดาดฟ้า แม้จะไม่โกรธเคืองผู้จัดการ แต่ผมก็อดสังเกตอาการของผู้จัดการไม่ได้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ปรากฏว่าผู้จัดการไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติเมื่อพบเรา โดยยังคงมีหน้าตาซื่อๆขณะนำอาหารเช้าซึ่งประกอบด้วย ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง กาแฟ และมะละกอสุก มาเสริฟเราที่โต๊ะ และ ณ ตำแหน่งความสูงของดาดฟ้าโรงแรม เราจึงได้กินอาหารเช้าพร้อมมองการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆของชีวิตยามเช้า ที่ค่อยๆตื่นจากราตรีที่เพิ่งพ้นผ่านไป


อยู่ในพม่าเป็นวันที่ 4 แล้ว ยังไม่ได้โทรไปรายงานตัวให้ทางบ้านหายห่วงเลย เพราะโทรศัพท์มือถือที่พกมา แม้เปิดบริการข้ามแดนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถใช้งานได้ อีกทั้งตลอด 3 วันที่ผ่านมาก็พยายามเดินหาโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งมีให้เห็นทั่วไปโดยตั้งโต๊ะอยู่ตามร้าน แต่โทรศัพท์เหล่านั้นก็สามารถโทรได้เฉพาะภายในประเทศ ผมจึงเริ่มเป็นกังวล กลัวว่าทางบ้านจะเป็นห่วง จึงลองสอบถามผู้จัดการโรงแรมว่าโทรศัพท์ของโรงแรมสามารถหาโทรกลับเมืองไทยได้ไหม ผู้จัดการบอกว่าโทรออกต่างประเทศไม่ได้ ให้ผมไปใช้บริการที่ร้านค้าฝั่งตรงข้าม


แล้วผมก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินราคาที่เจ้าของโทรศัพท์บอก เพราะโทรกลับเมืองไทยนาทีละ 5 เหรียญสหรัฐ ได้ยินทีแรกถึงกับสะดุ้ง เพราะไม่คิดว่าจะแพงขนาดนี้ เพราะแพงกว่าโทรจากเมืองไทยไปอเมริกาเป็นสิบเท่า จึงตั้งท่าจะเดินกลับโรงแรม แต่อีกใจหนึ่งกลับคิดว่า เพื่อแลกกับความสบายใจของทางบ้าน เงินแค่นี้ไม่แพงเกินไปหรอก

จากการตั้งท่าจะเดินกลับจึงเปลี่ยนเป็นการต่อราคา จนในที่สุดเจ้าของโทรศัพท์ก็ยอมลดเหลือ 4 เหรียญสหรัฐ ซึ่งนั่นเป็น 4 เหรียญสหรัฐ ที่เสียเงินแล้ว ผมสบายใจที่สุด เพราะทำให้พ่อกับแม่สบายใจ ที่รู้ว่า ผมมาถึงพม่าอย่างปลอดภัย และย้ำเตือนให้ผมรู้ว่า พ่อกับแม่นั้นรักลูกคนนี้มากเพียงใด

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 13.33 น.

ความคิดเห็น