หลังจากอาหารมื้อเช้าที่โรงแรม เรามุ่งหน้าเดินสู่ถนนหมายเลข 26 ซึ่งเป็นถนนที่ตัดตรงจากกำแพงเมืองทิศใต้ของพระราชวังมัณฑะเลย์สู่ท่าเรือไปมิงกุน ระหว่างทางเราแวะชมวัดเวนยูซาการา (Ven U Zagara) ซึ่งหากไม่มีป้ายชื่อระบุว่าเป็นวัด และมีพระภิกษุกำลังเดินกลับจากการบิณฑบาต เราคงคิดว่าเป็นอาคารสถานที่ราชการ ที่สร้างในสมัยอังกฤษปกครอง
ห่างจากวัดไปไม่เท่าไหร่ เป็นสวนเมาดอ (Myodaw หรือ city park) ซึ่งภายในเป็นท่าเรือไปมิงกุน เราเข้าไปซื้อตั๋วเรือโดยสาร ภายในอาคารที่ระบุด้านหน้าว่า Tourist Transport Jetty จึงเตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่า ค่าเรือที่เราต้องจ่ายนั้นคงแพงไม่ใช่เล่น เพราะเป็นเรือสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ แล้วก็เป็นจริงตามนั้น ค่าเรือไปกลับมัณฑะเลย์ – มิงกุน ซึ่งมีระยะทางแค่ 11 กม.นั้นราคาสูงถึงคนละ 4500 จ๊าต นี่ยังไม่รวมค่าบัตรเข้าชมอีก 3 เหรียญสหรัฐ ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่า ความงดงามแห่งแม่น้ำอิรวดี กับ ความยิ่งใหญ่ของเจดีย์มิงกุน คงจะคุ้มค่ากับเงินที่เราเสียไป
เมืองมัณฑะเลย์นี้เป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำของพม่าทางตอนเหนือ ที่ท่าเรือริมแม่น้ำอิรวดีแห่งนี้จึงมากไปด้วยผู้คน และ เรือบรรทุกสินค้านับสิบๆลำ ที่คนเรือต่างเดินกันขวักไขว่เพื่อลำเลียงสินค้า ทำให้บรรยากาศยามเช้าที่ท่าเรือนั้นคึกคักมิใช่น้อย
เวลา 9 นาฬิกาตรง เจ้าหน้าที่กวักมือเรียกเราและเหล่านักท่องเที่ยวชาวตะวันตกอีกประมาณ 10 คน ให้เดินขึ้นเรือ โดยสะพานขึ้นเรือนั้นใช้ไม้กระดานพาด ส่วนราวกันตกนั้น ดูเท่ห์ไม่ใช่เล่น เพราะใช้วิธีให้เด็กหนุ่มประจำเรือจับไม้ไผ่คนละข้าง โดยคนหนึ่งอยู่บนฝั่ง อีกคนอยู่บนเรือ แม้ดูไม่สะดวกสบายเมื่อเทียบกับเรือสำราญลำหรู แต่ราวกันตกของที่นี่เป็นราวกันตกที่มีชีวิต และมีน้ำใจที่จะประคับประคองผู้สูงวัยขึ้นสู่เรือได้อย่างปลอดภัย
ทีแรกผู้โดยสารแต่ละคนก็ลงไปนั่งในห้องโดยสารภายในเรือ แต่เมื่อเด็กหนุ่มประจำเรือ ขนเก้าอี้หวายขึ้นไปตั้งบนดาดฟ้าเรือ ผู้โดยสารทั้งหมดจึงย้ายไปจับจองเก้าอี้หวายบนดาดฟ้าเรือแทน โดยเราสองคนเลือกเก้าอี้หวายที่อยู่หน้าสุด เพื่อที่จะได้สัมผัสความงามของแม่น้ำอิรวดีได้อย่างชัดๆ ซึ่งทีแรกแท่งก็ตื่นเต้นกับการล่องแม่น้ำอิรวดี แต่เพียงไม่นาน สายลมเย็นๆก็ชักชวนให้หลับคาเก้าอี้หวาย ส่วนผมนั่งชมทิวทัศน์ท่ามกลางสายน้ำ สายลม และแสงแดดอ่อนๆ อย่างมีความสุข เสมือนหนึ่งกำลังล่องเรือสำราญ แต่เพียงไม่นาน ผมก็ต้องตื่นจากการเพ้อฝัน เมื่อมีเรือนำเที่ยวอีกลำแล่นผ่านไป โดยเรือลำนี้มีฝรั่งชายหญิงเพียงแค่สองคนเท่านั้น ซึ่งทั้งคู่กำลังนั่งจิบกาแฟบนโต๊ะรับรองตัวหรู เย้ยผมที่กำลังนั่งกินส้มบนเก้าอี้หวายเก่าๆ
การล่องเรือบนแม่น้ำอิรวดี (Ayeyarwady River) จากมัณฑะเลย์สู่มิงกุน แม้จะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง บนระยะทางแค่เพียง 11 กม. ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความยาวของแม่น้ำทั้งสายที่ยาวถึง 2170 กม. โดยมีต้นกำเนิดไกลถึงมณฑลยูนนาน ในประเทศจีน แต่ก็พอให้เราได้รู้จักและสัมผัสชีวิตสองฝั่งน้ำได้มากขึ้น อย่างน้อยก็ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานี ที่ปัจจุบัน เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของพม่าตอนเหนือ
บนเส้นทางแห่งสายน้ำ นอกจากความฉ่ำเย็นของบรรยากาศกลางสายน้ำแล้ว ยังได้พบเห็นชีวิตชาวประมง ที่กำลังพายเรือลำน้อยหาปลาบนผืนน้ำที่กว้างใหญ่ ได้เห็นกระต๊อบบนสันทรายริมน้ำ ที่สร้างขึ้นอย่างชั่วคราว และรอวันย้ายในฤดูน้ำหลาก ได้พบวัดเล็กวัดน้อยริมฝั่งน้ำ ที่สายหมอกยังแผ่ตัวปกคลุม และที่สำคัญ ผมได้เห็นตัวเอง นั่งพักอย่างมีความสุข โดยลืมเรื่องหนักๆที่โยนทิ้งไว้ เมื่อการเดินทางได้เริ่มต้นขึ้น
แล้วฐานเจดีย์ขนาดมหึมา ที่มองดูเหมือนเนินเขาลูกย่อมๆ ก็ปรากฏให้เห็นท่ามกลางสายหมอกที่ยังคงแผ่ตัว ผมปลุกแท่งให้ตื่นจากความฝัน เพื่อมาตะลึงกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ใช่แล้ว นั่นคือเจดีย์มิงกุน เจดีย์ที่พระเจ้าปดุงหมายมั่นที่จะสร้างให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เราใช้บริการสะพานและราวกันตกที่มีชีวิตอีกครั้ง ก่อนที่จะนำสองเท้าไปเหยียบบนผืนทรายริมแม่น้ำอิรวดี ของเมืองมิงกุน (Mingun) โดยมีวัวเทียมเกวียนจอดอยู่หลายคัน เพื่อพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมเมือง แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ รวมทั้งเราเลือกที่จะเดินเที่ยวชมเอง เพราะเวลา 3 ชม. ก่อนที่เรือจะออก นั้นมากพอสำหรับการเดิน แต่มาคิดอีกที ก็อดเสียดายไม่ได้ ที่พลาดการนั่งวัวเทียมเกวียน เพราะวันนี้พม่าได้เปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เชื่อว่าอีกไม่นาน ทั้งรถม้า และวัวเทียมเกวียน คงถูกแทนที่ด้วยรถยนต์และจักรยานยนต์อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนเช่นประเทศไทย ที่ทุกวันนี้ แทบหารถม้าและวัวเทียมเกวียนที่ชาวบ้านยังใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 16.30 น.