หลังจากกลับไปเอาเป้ที่ฝากไว้กับโรงแรม เราก็นั่งรถสองแถวกลับมาที่สถานีขนส่งมัณฑะเลย์อีกครั้ง แล้วเดินผ่านความพลุกพล่านของผู้คนไปยังรถประจำทางสายมัณฑะเลย์ – ตองยี ที่กำลังจะเคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งในเวลา 6 โมงเย็น ในเวลานั้นอาการไข้ในตัวผมเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการเดินทางอันยาวนานที่มีภาพยนตร์และเสียงเพลงพม่าเป็นเพื่อนร่วมทางก็กำลังเริ่มต้นขึ้นอีกหน
ผมหลับไปพร้อมอาการไข้ตลอดทั้งคืน จนเวลาตี 4 ครึ่ง เด็กประจำรถปลุกให้เราตื่นจากการหลับใหล โดยเราเป็นผู้โดยสารเพียง 2 คนเท่านั้น ที่ลงจากรถท่ามกลางความมืดมิดของเมืองชุยยอง (Shwe Nyaung) ซึ่งเป็นเมืองทางแยกที่จะไปทะเลสาบอินเล
เราหนีจากความมืดมิดด้วยการเช่ารถแท็กซี่ให้ไปส่งที่เมืองยองชุย (Nyaung Shwe) ซึ่งเป็นเมืองริมทะเลสาบอินเล คนขับบอกราคา 5000 จ๊าต แม้จะรู้สึกว่าราคาที่บอกจะค่อนข้างสูง แต่เพราะความมืดและความง่วงทำให้แท่งสะกิดผมว่าไม่ต้องต่อราคา พร้อมตรงเข้าไปหลับต่อบนเบาะหลัง
แท็กซี่แล่นผ่านทางที่มืดมิด หลังจากผ่านไปกว่าสิบนาทีก็จอดที่ด่านเก็บเงิน เพื่อให้เราเสียเงินค่าธรรมเนียมคนละ 3 เหรียญสหรัฐ ในการเข้าเขตทะเลสาบอินเล ไม่น่าเชื่อเลยว่า เวลาตี 5 เช่นนี้ จะมีเจ้าหน้าที่คอยนั่งเก็บเงินค่าผ่านทาง
คนขับแท็กซี่พาเรามาติดต่อที่สำนักงานแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือไปทะเลสาบอินเล โดยบอกว่าสามารถติดต่อห้องพักและเช่าเรือล่องทะเลสาบได้ที่นี่ จากนั้นจึงเดินไปปลุกเจ้าหน้าที่ให้ตื่นจากการหลับใหล
เจ้าหน้าที่เดินงัวเงียมาแนะนำที่พัก พร้อมรูปถ่ายสวยๆของที่พักแต่ละแห่ง โดยเริ่มจากห้องที่หรูสุด แพงสุด แต่เมื่อเราส่ายหน้า ห้องพักที่แนะนำต่อมาจึงราคาถูกลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังแพงสำหรับเราอยู่ดี เพราะห้องที่ราคาถูกสุดก็ราคาสูงลิ่วถึงเกือบร้อยเหรียญสหรัฐ ซึ่งนั่นยังไม่รวมค่าเรือเที่ยวรอบทะเลสาบ และเรือรับส่งระหว่างยองชุย กับ รีสอร์ท จึงทำให้เราต้องตัดใจพับแผนการนอนที่อินเล เป็นไปนอนที่เมืองตองยีแทน ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า หากใจเป็นสุข นอนที่ไหนก็หลับเต็มอิ่มได้เหมือนกัน อีกทั้งการไปนอนที่ตองยี ยังสามารถเที่ยวเมืองตองยีเพิ่มขึ้นอีก 1 เมือง
คนขับแท็กซี่จึงพาเราไปติดต่อเช่าเรือที่สำนักงาน GIC ซึ่งห่างจากที่แรกไม่ถึง 50 เมตร โดยที่นี่เป็นทั้งเกสท์เฮ้าส์และบริษัททัวร์ เจ้าของเกสท์เฮ้าส์บอกค่าเรือล่องทะเลสาบอินเลซึ่งถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวที่ 15 เหรียญสหรัฐต่อลำ ซึ่งแม้เรามากันแค่ 2 คนก็ต้องจ่ายเหมาลำ ทั้งๆที่เรือนั้นสามารถนั่งได้สูงสุดถึง 6 คน
ระหว่างรอการสว่างของท้องฟ้า แท่งเลือกที่จะนั่งหลับบนเก้าอี้หน้าเคาเตอร์ ส่วนผมเลือกสลัดอาการไข้ด้วยการไปเดินเล่นชมเมืองยองชุย เพื่อรับแดดอ่อนๆในเวลาที่แสงแรกแห่งวันเริ่มปรากฏ
แม้ว่าวันนี้จะผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้ว แต่อากาศยามเช้าก็ยังคงหนาวเย็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมืองยองชุยตั้งอยู่บนที่ราบสูงของรัฐฉานที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 900 เมตร ผมจึงต้องเดินกอดอกไปตามถนนสายเล็กๆที่ม่านหมอกแผ่ตัวปกคลุม
บนถนนมีผู้คนค่อนข้างบางตา ไม่ไกลจากท่าเรือนัก มีวัดเก่าแก่นามว่า วัดญาดานามานอ่อง (Yadana Mann Aung) ซึ่งมีเจดีย์สีทองทรงแปดเหลี่ยมที่งดงามตั้งโดดเด่นอยู่ภายในวัด รูปแบบของเจดีย์นั้นแตกต่างจากเจดีย์ศิลปะพม่าที่เราแวะนมัสการในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะ เมืองยองชุยอยู่ในเขตรัฐฉาน ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่และชนชาติต่างๆอีกนับสิบชาติพันธุ์ วิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมจึงอาจแตกต่างจากเมืองพุกาม มัณฑะเลย์ หรือย่างกุ้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของชนชาติพม่า
แล้วเส้นทางที่ผู้คนบางตานี้ก็มากไปด้วยพระภิกษุสงฆ์ที่เดินมาเป็นแถวเพื่อบิณฑบาต แม้จำนวนพระจะไม่สามารถเทียบได้กับที่หลวงพระบางในประเทศลาว แต่เท่าที่ประเมินจากสายตา ขบวนพระที่กำลังผ่านหน้าผมไปนี้ น่าจะมีไม่น้อยกว่า 30 รูป ซึ่งใช้เวลานานหลายนาที กว่าที่เด็กชายผู้ตื่นมาตักบาตรแต่เช้า จะตักข้าวลงในบาตรของเณรน้อยที่เดินปิดท้ายขบวน
แล้วขบวนแห่งศรัทธาก็กำลังเคลื่อนผ่านไปในช่วงเวลาที่แสงพระอาทิตย์เริ่มขับไล่อากาศที่หนาวเย็นของยามเช้าผมเดินลัดเลาะบ้านเรือนไปยังตลาด เพื่อสอบถามเวลาเดินรถโดยสารจากยองชุย ไปยังตองยี ได้ความว่า มีรถสองแถวออกจากตลาดทุกชั่วโมงจนถึงเย็น หากจะให้ปลอดภัยจากการตกรถ ควรมาถึงท่ารถก่อน
เวลา 4 โมงเย็น
ไหนๆก็มาถึงตลาดแล้ว จึงไม่พลาดที่จะเดินชมวิถีชีวิตของผู้คนที่มาจับจ่ายสินค้า ด้วยเหตุที่ครั้งหนึ่ง เมืองยองชุย เคยเป็นเมืองหลวงของรัฐฉาน ก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองไมตะ และเมืองตองยี ตามลำดับ จึงทำให้ตลาดยองชุยนั้นมีความคึกคักมาก ซึ่งไม่ได้มีแค่บนบก แต่ครอบคลุมไปถึงลำคลองเล็กๆที่ไหลผ่าน
ในลำคลองนั้นมากไปด้วยเรือแจวนับสิบๆลำ ที่พ่อค้าแม่ขายต่างนำพืชผลทางการเกษตรใส่กระบุงใบโตมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย่างคึกคัก และที่สำคัญ ภาพที่เห็นนั้นคือวิถีชีวิตจริงๆของคนที่นี่ ไม่ใช่วิถีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 17.48 น.