ไม่อยากเดินกลับแล้ว เราจึงลองนั่งรถสามล้อประจำทาง ซึ่งวิ่งผ่านมาพอดี เสียค่าโดยสารเพียงคนละ 150 จ๊าตเท่านั้น เราก็ได้นั่งสบายๆมาลงบริเวณปากซอยเข้าโรงแรม ซึ่งเป็นคิวรถสองแถวและสามล้อประจำทาง

เราสอบถามถึงรถที่วิ่งผ่านชเวมอดอว์ ซึ่งยังคงเป็นรถสามล้อประจำทาง แต่รถคันที่เรานั่งนั้นสุดวัยรุ่น โดยติดลำโพงเสียรอบคัน ซึ่งในเวลาที่วิ่ง คนขับก็เปิดเพลงเสียกระหึ่ม จนรู้สึกเหมือนอยู่ในงานมอเตอร์โชว์

เมื่อข้ามแม่น้ำพะโคสู่ฟากที่เป็นที่ตั้งของตลาด เจดีย์สีทองขนาดยักษ์นามว่าชเวมอดอว์ (Shwemawdaw) ก็ปรากฏกาย อย่างโดดเด่นในตำแหน่งกึ่งกลางของถนนที่ตัดตรงเพื่อมุ่งสู่มหาเจดีย์องค์นี้

เราเดินผ่านสิงห์คู่ขนาดใหญ่ที่ยืนสง่าที่ประตูทางเข้า การสร้างสิงห์คู่ที่ประตูทางเข้าวัดถือเป็นเรื่องปกติในพม่า หากแต่สิงห์คู่แห่งชเวมอดอว์นี้มีความแปลกว่าสิงห์คู่ตามวัดทั่วไป เนื่องด้วยภายในปากของสิงห์คู่นี้มีพระพุทธรูปพระอุปคุต ขนาดเล็ก ในลักษณะนั่งจกบาตร

ขั้นบันไดนำเราขึ้นไปสู่องค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนฐานที่ยกให้สูงจากพื้นดิน ทำให้องค์เจดีย์รูปทรงสูงเพรียวที่สูงถึง 112 เมตร มีความสูงใหญ่มากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่แรกสร้างมีความสูงเพียง 21 เมตรเท่านั้น ในปัจจุบันชเวมอดอว์แห่งนี้ถือเป็นมหาเจดีย์ที่มีความสูงมากที่สุดในประเทศพม่า

ตามตำนานนั้นเล่าว่า ชเวมอดอว์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า โดยพ่อค้าชาวมอญ 2 คนได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย เมื่อประมาณพันสองร้อยปีที่ผ่านมา ซึ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มหาเจดีย์แห่งนี้ ถือเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของชาวพม่าในยุคปัจจุบัน

เนื่องด้วยมหาเจดีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของกรุงหงสาวดี ซึ่งอดีตเคยเป็นราชธานีของชนชาติมอญ ทำให้มหาเจดีย์แห่งนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า พระธาตุมุเตา โดยคำว่า “มุเตา” เป็นภาษามอญ หมายถึง จมูกร้อน ที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ เป็นเพราะความสูงของเจดีย์ ที่ต้องแหงนหน้าเพื่อมองยอดเจดีย์ จนจมูกร้อนเพราะถูกแดดเผา

ไม่รู้ว่าจมูกที่ถูกแดดเผาจนร้อนนี้ ไปเกี่ยวข้องอะไรกับหูของพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ พระองค์จึงทรงเลือกชเวมอดอว์แห่งนี้เป็นที่ทำพิธีเจาะพระกรรณ ตามโบราณราชประเพณีก่อนขึ้นครองราชย์บัลลังก์ ทั้งๆที่ในเวลานั้น กรุงหงสาวดียังเป็นของมอญ และอีก 8 ปีให้หลัง พื้นที่รอบพระธาตุจมูกร้อนแห่งนี้ ก็ร้อนด้วยไฟสงคราม ที่พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ยกทัพจากตองอูมาตีกรุงหงสาวดี จนในที่สุดราชธานีของชนชาติมอญก็ตกเป็นของชนชาติพม่า โดยพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ทรงย้ายราชธานีจากตองอู มาอยู่ที่กรุงหงสาวดี ซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งมหาเจดีย์ชเวมอดอว์ หรือพระธาตุจมูกร้อนแห่งนี้

แล้วเราก็เดินจมูกร้อนไปตามลานกว้างรอบองค์เจดีย์ ซึ่งนอกจากความงามขององค์เจดีย์ที่สูงใหญ่แล้ว โดยรอบยังมากไปด้วยพระพุทธรูปที่ชาวพม่ากำลังกราบไหว้อยู่ อีกทั้งยังมีกุศโลบายชักชวนให้ร่วมทำบุญหลายรูปแบบ ที่น่าสนใจคือบรรดาเกมต่างๆ ซึ่งมีหลักการเดียวกับประเทศไทยคือการโยนเหรียญให้ลงบาตรที่อยู่ไกล หรือไม่ก็กำลังเคลื่อนที่ แล้วผมก็ติดใจเกมคนพายเรือ ที่เรือลำน้อยหลายลำต่างพายวนรอบแล้วรอบเล่า เพื่อรับเงินทำบุญ

ที่มุมหนึ่งของชเวมอดอว์ มีแท่งอิฐทรงกระบอกกองอยู่ นี่คือส่วนยอดฉัตรบนสุดของเจดีย์องค์เดิม ที่พังทลายลงมาจากเหตุแผ่นดินไหวในปีพ.ศ.2473 นำมาซึ่งความปวดร้าวใจแก่ชาวพม่าและชาวมอญยิ่งนัก แต่ภายหลังมหาเจดีย์แห่งนี้ก็ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ โดยยิ่งใหญ่และงดงามมากกว่าเดิม แต่ซากของยอดฉัตรของเจดีย์องค์เดิมก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองพะโคในปัจจุบัน จึงยังคงมีผู้เฒ่าผู้แก่มากราบไหว้ เฉกเช่นครั้งหนึ่ง ที่ยอดฉัตรอันนี้เคยตั้งอยู่บนยอดสุดของมหาเจดีย์ ที่เป็นศูนย์กลางของกรุงหงสาวดี

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 20.11 น.

ความคิดเห็น