สันเครื่องบินตก ป่าเขาหลวง นครศรีธรรมราช ลำพังแค่ชื่อก็น่าค้นหา พอยิ่งรู้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะไกลของอุทยานแห่งชาติเขาหลวงทำให้นึกอยากสัมผัสมากขึ้นอีก เพราะผืนป่าที่นี่การันตีเรื่องความโหดหิน สวย สะใจ ใครอยากบอกว่าตัวเองเป็นสายป่าของแท้ต้องมาเหนื่อยสักครั้งในชีวิต

ดังนั้นทันทีที่ อช.เขาหลวง ประกาศเปิดทางเดินศึกษาธรรมชาติประจำปี 3 เส้นทาง ตอนต้นปี 64 1. ยอด 1800 2. เนินลมฝน-ยอดฝามี 3. สันเครื่องบินตก เพื่อนฝูงแต่ละคนเลยกระตือรือร้นจัดทริปจ้าละหวั่น ก่อนผมจะจับพลัดจับผลูได้แจมทริปสันเครื่องบินตกแบบติดสอยห้อยตามเขาไปเมื่อ 5-8 กุมภาพันธ์ ถือเป็นกลุ่มประเดิมเส้นทางของปีเสียด้วย

สันเครื่องบินตก… ชื่อฟังดูน่ากลัว แต่เครื่องบินตกในที่นี้ไม่ใช่โศกนาฎกรรมรุนแรงหรอกนะ เป็นเครื่องบินทหารขนาดเล็กของกองทัพ ว่ากันว่าเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ 40 กว่าปีมาแล้ว มีสองความเชื่อคือ 1) เป็นซากเครื่องบินที่บินจากลพบุรีไปนครศรีธรรมราชแล้วประสบอุบัติเหตุ มีครูฝึกบิน 3 คน เป็นผู้นำเครื่องมา ทั้งหมดรอดชีวิต ต่อมาเมื่อทางทหารเห็นว่าไม่สามารถกู้เครื่องลงจากเขาจึงจัดการทำลายทิ้งตามระเบียบ ส่วนอีกความเชื่อ 2) เป็นเครื่องบินทหารที่ถูก ผกค. ยิงถล่มจนตกกลางป่า เรื่องแท้จริงเป็นแบบไหนทางทหารคงตรวจสอบได้ไม่ยากหรอกมั้งครับ แต่เพราะเป็นเรื่องของทหารที่ไม่มีความจำเป็นต้องขุดคุ้ยเลยปล่อยไว้แบบนั้นแหละ


(1)

กำหนดการเดินเส้นทางสันเครื่องบินตก จุดเริ่มต้นอยู่ที่หน่วยพิทักษ์ฯ น้ำตกพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี ห่างจากตัวเมืองนครประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งเพื่อนร่วมทริปของผมจะขับรถมาจาก กทม. แต่ผมที่ว่างงานสุดๆ ขอเดินทางแบบเท่หน่อย … ไปนครทั้งทีต้องนั่งรถไฟตู้นอนสิ

ทริปนี้ผมแยกเดินทางคนเดียวล่วงหน้า นั่งรถไฟจากหัวลำโพงขบวน 85 ต้นทางเวลา 19.30 น. เลือกชั้น 2 ตู้นอน เตียงบน เหมือนเคย ตามตารางเวลารถจะถึงนครตอนเที่ยง วันนั้นผมถึง 13.50 น. ซึ่งก็เป็นปกติของ รฟท. แหละนะ ใช้เวลากินเที่ยวอยู่ตัวเมืองนครก่อนหนึ่งคืนแล้วค่อยต่อไปน้ำตกพรหมโลก

จากเมืองนครไปน้ำตกพรหมโลกง่ายมาก ขึ้นสองแถวที่ตลาดยาว (คนพื้นที่เรียกว่าถนนคนเดิน) ตรงนั้นมีสองแถวจอดเรียงรายเป็นร้อยคัน รถที่ไปอำเภอพรหมคีรีคือสาย นคร-ราชภัฎ-โรงเหล็ก ค่าโดยสารถึงสี่แยกอำเภอพรหมคีรี 20 บาท

ลงรถสี่แยกพรหมคีรี ผมสอบถามชาวบ้านจนได้ความว่ามีวินมอเตอร์ไซค์เสื้อชมพูให้บริการอยู่ที่ศาลา ถ้าไม่เห็นลุงวินก็รอสักหน่อยคือแกอาจไปรับ-ส่งผู้โดยสาร ค่าวินจากสี่แยกถึงน้ำตกพรหมโลก 70 บาท ความจริงเทียบกับระยะทาง 4 กิโลเมตรนิดๆ ผมว่าแพงนิดหน่อย แต่ลุงบอกเมื่อก่อนวิ่ง 40-50 บาท พอถึงสมัยนี้ขอ 70 บาทนะ ก็ว่าตามนั้นครับ

น้ำตกพรหมโลกช่วงที่ผมไปถึงถือว่าสวยเลยล่ะ น้ำใสไหลเย็น นักท่องเที่ยวแทบไม่มีเพราะอุทยานฯ ประกาศห้ามเล่นน้ำช่วงสถานการณ์โควิด คนมาเที่ยวเล่นน้ำจะอยู่แค่แถวร้านอาหารก่อนเข้าเขตอุทยานฯ ไม่มีใครเสียตังค์ค่าธรรมเนียมเข้ามาถึงตัวน้ำตกจริงๆ

น้ำตกสวย ป่าเขียว ธรรมชาติรื่นรมย์ แต่เกือบงานเข้าตรงที่เพิ่งรู้ว่าบริเวณน้ำตกพรหมโลก อุทยานฯ ไม่อนุญาตให้มีการค้างพักแรม คือไม่มีทั้งลานกางเต็นท์และที่พัก ยังโชคดีที่เจ้าหน้าที่เห็นใจเพราะผมต้องขึ้นเขาวันพรุ่งนี้เลยแก้ปัญหาด้วยการให้ไปนอนที่อาคารขายของที่ระลึกใกล้ด่านตรวจทางเข้าอุทยานฯ รอดตัวไป

ใครมาเดินเส้นทางนี้ ถ้ามาล่วงหน้าแนะนำให้หาที่พักเตรียมไว้ด้วยนะครับ หรือจะติดต่อโฮมสเตย์ชุมชนพรหมโลกก็มีหลายหลังเหมือนกัน


(2)

เช้าวันขึ้นเขา เพื่อนขับรถจาก กทม. สองคันมาถึงหน่วยฯ ก่อนสว่าง หาที่ทางพักผ่อนจน 8.30 น. ค่อยไปลงทะเบียนที่ด่านตรวจ และเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ โดยมีเอกสารสำคัญมากที่ต้องนำมาด้วยคือสำเนาหลักฐานประกันอุบัติเหตุ หากซื้อจาก 7-11 ก็ใช้ใบเสร็จรับเงินเลย หากเป็นบัตรหรือกรมธรรม์ก็ให้ถ่ายเอกสารมา สำคัญมากครับเพราะถ้าไม่มีอุทยานฯ จะไม่ให้เดินเด็ดขาด

เคลียร์ทุกอย่างเสร็จตอนสิบโมงกว่า พอเตรียมตัวเรียบร้อยก็แบกของขึ้นเป้ เริ่มเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกพรหมโลก ผ่านชั้นที่ 1 2 3 4 ตามสเต็ป ผมเองเพิ่งรู้ว่าพื้นที่บริเวณนี้ยังมีสวนผลไม้ชาวบ้านซึ่งอุทยานฯ จัดให้เป็นที่ทำกินเพราะทำมาตั้งแต่ก่อนมีการประกาศอุทยานฯ ถือเป็นสวนผลไม้กลางป่าแท้ๆ

เส้นทางเดินวันแรกยังไม่สาหัสมาก ทางเดินชันพอสมควรแต่มีสลับทางราบหลายช่วง ตัดข้ามลำธารไปมาสามสี่หน สภาพผืนป่าเดือนกุมภาพันธ์ หลังหมดพายุใหญ่ที่ถล่มภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมายังเขียวสวยสดชื่น

เส้นทางเดินวันแรกยังไม่สาหัสมาก ทางเดินชันพอสมควรแต่มีสลับทางราบหลายช่วง ตัดข้ามลำธารไปมาสามสี่หน สภาพผืนป่าเดือนกุมภาพันธ์ หลังหมดพายุใหญ่ที่ถล่มภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมายังเขียวสวยสดชื่น

ระยะทางวันแรกราว 7 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินแบบไม่รีบห้าชั่วโมงพอดีก็ถึงจุดตั้งแคมป์ที่หนานราง คำว่าหนานหมายถึงน้ำตก แคมป์ของเราจึงอยู่ริมลำธาร มีที่โล่งเหลือเฟือสำหรับทั้งกางเต็นท์ ผูกเปล จัดว่าสบายมาก

พวกเราถึงแคมป์แค่บ่ายสามกว่าๆ มีเวลาให้ทำโน่นทำนี่เยอะแยะ สายแม่ครัวก็เตรียมอาหาร ใครอยากเล่นน้ำก็จัดไป ส่วนผมเองหามุมสวยๆ ถ่ายรูปตามสไตล์ ทริปนี้ถึงไม่ได้เอาขาตั้งมาเพราะไม่อยากแบกน้ำหนัก แต่ยังพอหามุมตั้งตามโขดหินได้แหละ

ที่นี่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตระดับ 4G (ผมใช้ AIS) บริเวณหน้าผาสุดชั้นน้ำตก เดินจากแคมป์แค่ 100 เมตร ใครไม่อยากตัดขาดโลกภายนอกไปโต๋เต๋นั่งเล่นตรงนั้นได้ครับ


(3)

วันที่สองเจ้าหน้าที่นัดเริ่มเดินเก้าโมง เรารีบตื่นมาทำอาหารเช้า เตรียมของกินมื้อกลางวัน เก็บแคมป์ ของอะไรที่เอาไว้ใช้วันมะรืนทิ้งไว้ได้เพราะต้องกลับมานอนที่เดิม แต่กว่าจะได้เดินจริงๆ ก็ขอเลทนิดหน่อยตามฟอร์ม (ฮา…)

วันที่สองคือไฮไลท์ของทริปเพราะเราจะขึ้นสันเครื่องบินตก ระยะทางรวมประมาณ 10 กิโลเมตร แบ่งเป็นช่วงแรกเดินจากหนานรางขึ้นสันเครื่องบินตก และช่วงสองตัดลงหุบไปนอนที่หนานลีลาสวรรค์

จากนั้นเราขยับต่อไปสันเครื่องบินตกซึ่งก็ตามสภาพล่ะนะว่าขึ้นสัน โอ้โห… มันจะชันไปไหนหนอ ดีนะว่าผมแบกน้อยกว่าเมื่อวานนิดหน่อย กับความชันระดับนี้แค่เป้เบาลงสักสามสี่กิโลก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว

ความยากอีกอย่างของเราคือเพราะเป็นกลุ่มแรกในการเปิดทริปสันเครื่องบินตกอย่างเป็นทางการของปี เทรลจึงค่อนข้างรก ประกอบกับเขาหลวงเพิ่งผ่านพายุใหญ่มาไม่นาน เส้นทางเลยยิ่งรุงรังไม้ล้มขวางทางเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่ต้องนำเลี่ยงบ้าง ถางทางใหม่บ้าง ถือว่าดีเหมือนกันเพราะได้ชะลอพักเหนื่อยไปในตัว

บ่ายโมงตรง หลังเดินดันขึ้นเขาชันยาวๆ จนถึงเขตป่าโบราณท่ามกลางหมอกขาวปกคลุม เรามาพักเติมแรงเติมอาหารกลางวันกันที่สันหัวใจ เรียกชื่อแบบนี้เพราะบังเอิญเจอก้อนหินรูปหัวใจอยู่ตรงนี้

จากตรงนี้ไปสันเครื่องบินตกเหลือไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร เป็นป่าโบราณรกครึ้มเขียวด้วยมอสเฟิร์น แถมได้ไอหมอกขาวมาช่วงเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนแดนสนธยามากขึ้นอีก

ถึงระยะทางไม่ไกลแต่ผมกลับใช้เวลาช้ามาก ช้าเพราะเจอสิ่งละอันพันละน้อยอะไรก็อยากหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ ยอมรับครับว่าป่าโบราณเส้นนี้สวยตะลึง เป็นเสน่ห์ของป่าภาคใต้เลยล่ะ

นอกจากนี้ระหว่างทางยังเจอมูลสมเสร็จอยู่เป็นระยะ บางมูลยังดูใหม่เหมือนเจ้าตัวเพิ่งถ่ายทิ้งไว้ไม่นาน รวมถึงเจอมูลเลียงผาอีกต่างหาก เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความสมบูรณ์ของเขาหลวงได้ดีเชียว

แล้วเจอเจ้านี่ด้วย… แค่เห็นก็ใจหายแว้บ

บ่ายสองโมงครึ่งพวกเรามาถึงหน้าผาสันเครื่องบินตก สภาพอากาศอย่างที่เห็นในภาพคือแทบมองไม่เห็นอะไร (ฮา…) มีช่วงลมแรงพอพัดหมอกให้จางเห็นอะไรนิดหน่อยแว้บๆ เท่านั้น แต่ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรเลย ธรรมชาติคือธรรมชาติ แบบไหนก็ดีทั้งนั้น

พ้นแนวผาไปแล้วเราจึงมาถึงจุดเจอเครื่องบินนอนแอ้งแม้งกลางป่า ภาพบรรยากาศขรึมขลังสุดใจ หมอกขาวคลุมห่ม พืชพรรณเขียวขึ้นรกตัวเครื่อง เจ้าหน้าที่บอกว่าแต่ก่อนไม้ต่างๆ มันโล่งกว่านี้ พอปีผ่านปีก็เติบโตขึ้นปกคลุมเครื่องบินอย่างที่เห็น ผมชอบนะ แบบนี้ขลังโคตร

ถ่ายภาพเครื่องบินจนหนำใจแล้วไปต่อ จากนี้เป็นทางลงยาวซึ่งไม่เป็นมิตรต่อหัวเข่าและหัวแม่เท้าเอาซะเลย เพื่อไปจุดตั้งแคมป์น้ำตกหรือหนานลีลาสวรรค์ ผมถ่ายเครื่องบินรูปสุดท้าย 15.04 เดินลงมาถึงจุดพักแรมตอน 16.27 ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ถือว่าพวกเราทำเวลากันได้ดี

แคมป์อยู่ริมน้ำตกสูงใหญ่ มีลำธารสองสายที่ไหลมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว กางเต็นท์ได้ ผูกเปลได้ พื้นที่อาจลาดชันกว่าเมื่อวาน แต่สำหรับกลุ่มสักสิบกว่าคนถือว่าเพียงพอครับ

น้ำตกสวยกับลำธารใสไหลเย็นในหุบเขา มีน้ำกินน้ำใช้ไม่ขาด บอกเลยว่าหนานลีลาสวรรค์เป็นสวรรค์สำหรับการตั้งแคมป์จริงๆ


(4)

เข้าสู่การเดินทางวันที่สาม วันนี้พวกเราจะกลับไปยังหนานรางโดยผ่านสันเครื่องบินตกเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือตอนขึ้นสันเครื่องบินตกจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่เรียกว่าผาปะการัง

พวกเราเก็บแคมป์เสร็จเริ่มเดินก่อนสิบโมงเช้าราวสิบห้านาที เริ่มปุ๊บก็ต้องหาทางขึ้นหัวน้ำตกกันแบบไม่มีวอร์มอัพ ทั้งชันและรก ต้องเดินไปหยุดถางทางฟันทางกันไป

ถึงหัวน้ำตกแล้วใช้เส้นทางเลาะขึ้นไปตามแนวโขดหินทางน้ำ เจ้าหน้าที่บอกว่าชื่อผาปะการังมาจากพวกมอสที่ขึ้นตามแนวหินเรียงรายนี่แหละ หากมาช่วงอากาศชื้นฝนตกหมอกคลุมตลอดจะเขียวขจีไปทั่ว แต่ตอนที่พวกเราไปจุดนี้แดดเปรี้ยงมอสแห้งเหลืองซีดหมดแล้ว ถือว่าดีตรงได้แลกกับการเห็นวิวสวยๆ ฟ้าเปิด

เส้นทางผาปะการังขึ้นสันเครื่องบินตกวิวสวยมากและผมชอบมาก ถึงจะชันในชัน ชันแบบโคตรชัน แต่ก็เดินสะใจคุ้มเหนื่อยคุ้มปวดขาปวดไหล่ เรื่องความชันต้องยกให้เขาหลวงจริงๆ

หลังจากเมื่อวานเจอหมอกคลุมขาวโพลน วันนี้เมื่อเรากลับมาถึงหน้าผาตรงสันเครื่องบินตกก็โชคดีได้ฟ้าเปิดเห็นวิวป่าเขาหลวงแบบเต็มตาสมใจ พอเจอแบบนี้ก็ต้องถ่ายรูปแก้มือกันรัวๆ หน่อยล่ะ ผมเดินไปเดินมาจนได้ภาพที่ถูกใจนั่นแหละ (ฮา…)

เรากลับมาถึงหนานรางบ่ายสามโมงครึ่ง มีเวลาสำหรับพักผ่อน อาบน้ำเล่นน้ำ นั่งเล่นโทรศัพท์เข้าโซเชียลที่ริมหน้าผา หลังผ่านการเดินใกล้แตะ 30 กิโลเมตร ชักเริ่มอยากนั่งนิ่งๆ นานๆ แล้วเหมือนกัน

พวกเราทำอะไรเชื่องช้ากว่าทุกวัน กินข้าวกันค่ำกว่าทุกวัน แต่กลับนอนค่อนข้างเร็วกว่าทุกวัน เพราะเหนื่อย… หรือเพราะเสบียงบางอย่างหมดก็ไม่รู้สึกนะ (ฮา…)


(5)

วันสุดท้ายไม่มีอะไรมากมายนอกจากการเดินกลับไปหน่วยฯ น้ำตกพรหมโลก เป็นวันที่เราตื่นสาย ทำอะไรชักช้า กว่าจะขยับตัวขึ้นเป้ปาไปสิบโมงครึ่ง แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะแค่ประมาณบ่ายโมงก็ลงมาถึงข้างล่างครบทุกคนเรียบร้อย

วันสุดท้ายไม่มีอะไรมากมายนอกจากการเดินกลับไปหน่วยฯ น้ำตกพรหมโลก เป็นวันที่เราตื่นสาย ทำอะไรชักช้า กว่าจะขยับตัวขึ้นเป้ปาไปสิบโมงครึ่ง แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะแค่ประมาณบ่ายโมงก็ลงมาถึงข้างล่างครบทุกคนเรียบร้อย

แล้วไว้เจอกันใหม่นะขุนเขาฝนโปรยไพร หากไม่ใช่เส้นทางใหม่ก็เป็นเส้นทางเดิมที่หลงรักนี่แหละ


ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาหลวงเปิดให้นักท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติเส้นทางเดินป่าระยะไกล 3 เส้นทาง รายละเอียดต่างๆ ติดต่อสอบถามอุทยานฯ โดยตรงตามนี้ครับ


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller

นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.18 น.

ความคิดเห็น