มาต่อกันที่ EP. 2 กับทริปเที่ยวน่านของเรานะครับ สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน EP. 1 สามารถตามอ่านได้ที่นี่ครับ
หลังจากที่เมื่อคืนเราฝ่าความหนาวกลั้นใจอาบน้ำและรีบเข้านอนตอนเที่ยงคืน (รีบมากกกก) เช้านี้ ผมตื่นขึ้นมาเพื่อออกมาสัมผัสอากาศยามเช้า เสียดายเช้าวันนี้ไม่มีหมอกให้เห็น วันนี้อากาศอุ่นกว่าเมื่อวานเยอะเลยครับ รู้สึกสบายตัวขึ้นมาหน่อย
วิวจากระเบียงหน้าห้องครับ สวยลืมมมมม
ตื่นนอนล้างหน้า แปรงฟันเสร็จแล้ว ผมก็ออกมาเดินเล่นถ่ายรูปบริเวณรอบ ๆ รีสอร์ทก่อนกลับ
จากรีสอร์ทมองเห็นทุ่งนาด้านล่างด้วย
เดินเล่นอยู่ซักพักเริ่มหิว เลยเดินไปที่ศาลากลางรีสอร์ทซึ่งเป็นที่สำหรับทานข้าว อันที่จริงสามารถให้ทางรีสอร์ทยกปิ่นโตไปให้บนบ้านพักก็ได้ แต่ผมขอลงมาทานข้าวข้างล่างดีกว่า
อาหารเช้ารวมอยู่ในค่าที่พักแล้วนะครับ อาหารก็มีตามนี้เลย รสชาติดีทีเดียว
ปลาส้มที่ผมรัก
ทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว ผมก็บอกลาพี่ ๆ ป้า ๆ เหล่าพนักงานรีสอร์ทเพื่อเดินทางกลับตัวเมืองน่าน ขากลับเราใช้เส้นทางบ่อเกลือ - ปัว - น่าน ซึ่งถ้าเทียบกับขามาทางสันติสุข ทางนี้ค่อนข้างคดเคี้ยวมากกว่าพอสมควรเลย
มาถึงตัวอำเภอบ่อเกลือทั้งทีก็ตั้งแวะดูบ่อเกลือกันซักหน่อยครับ บ่อเกลือที่นี่เป็นเกลือภูเขาที่มีไม่กี่แหล่งในโลก และยังคงใช้การต้มเกลือแบบโบราณอยู่ ส่วนหนึ่งก็ใช้ในครัวเรือน อีกส่วนก็ทำโชว์นักท่องเที่ยวและผลิตเกลือเป็นของฝาก
บ่อน้ำเกลือ
วิธีต้มเกลือครับ เคยเห็นแต่ในรูป ในรีวิว วันนี้ได้มาเห็นของจริงซักที
เดินเล่นมาถึงด้านหลังของชุมชนที่ติดกับลำน้ำมาง แอบรู้ว่ามา รีสอร์ทชื่อดังอย่าง อุ่น ไอ มาง ก็มาจากชื่อลำน้ำมางนี่แหละ
จากนั้นเราก็เดินทางออกจากตัวอำเภอบ่อเกลือ พอมึนหัวกับเส้นทาง ก็มาถึงอีก 1 จุดชมวิว คือ จุดชมวิว 1715 ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา โดยเลข 1715 คือระดับความสูงจากน้ำทะเลของพื้นที่ดังกล่าว บอกเลยวิวดีมาก แต่แดดก็ร้อนมากเช่นกัน
ชมวิวกันพอให้แสบผิว 5555 เราก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป นั้นคือ ศาลเจ้าพ่อภูคา ศาลแห่งนี้เป็นสิ่งศักสิทธิ์ของผู้คนที่ขับรถผ่านไปมาบนเส้นทางนี้ ให้ทุกคนได้สักการะบูชา ขอพรสิ่งศักสิทธิ์ให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ซึ่งงงงงงง ใกล้ ๆ กับศาลยังเป็นที่อยู่ของต้นชมพูภูคา พันธ์ุไม้หายากและเชื่อกันว่ามีเพียงแห่งเดียวในโลกคือที่ จ. น่าน โดยปกติจะออกดอกช่วงเดือนกุมภา - มีนา แต่ผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้เห็นดอกชมพูภูคา ในช่วงเดือนเมษาแบบนี้
จากข้อมูลบอกว่า ถ้าเป็นช่วงที่อากาศหนาวต่อเนื่อง ดอกชมพูภูคาก็สามารถบานได้จนถึงเมษาเลย ตื่นเต้นมากครับ
จากนี้ไปเราก็นั่งรถกันยาว ๆ ไปถึงปัวเลยครับ เส้นทางช่วงนี้เรียกได้ว่า สวยจนลืมหายใจ (แต่ก็ต้องกลับมาหายใจ 5555) สวยจริง ๆ ครับ เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน บางส่วนก็เป็นเขาหัวล้าน บางส่วนก็เต็มไปด้วยต้นไม้ เลยนำภาพมาฝากกันครับ
ตรงนี้เป็นข้างทาง เข้าไปในพื้นที่เกษตรของชาวบ้าน ใครจะเข้าไปถ่ายรูปบอกกล่าวเขานิดนึงนะครับ เดี๋ยวชาวบ้านตกใจ
ขับรถยาว ๆ มาถึงตัวเมือง อ. ปัว แวะกินข้าวเที่ยงแล้วไปเที่ยวกันต่อที่วัดต้นแหลง วัดไทยลื้อเก่าแก่ ที่ยังคงรักษาอุโบสถสถาปัตยกรรมแบบไทยลื้อไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถือว่าหาได้ยากแล้วในประเทศไทย นอกจากนี้เมื่อปี 2552 วัดแห่งนี้เคยได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทยล้านนา ประเภทอาคารทางศาสนา
อีกด้วย ใครได้มาเที่ยวน่านลองแวะมาดูนะครับ
เสร็จจากวัดต้นแหลง เราก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกันต่อ
เมื่อมาถึงตัวเมือง เราก็เที่ยววัดต่าง ๆ กันต่อ โดยเริ่มจาก วัดภูมินทร์ > วักพระธาตุเขาน้อย > วัดมิ่งเมืองและวัดพระธาตุแช่แห้ง
ช่วงที่ผมไป เนื่องจากเป็น Low season หลายแห่งจึงกำลังปิดปรับปรุง รวมทั้งวัดภูมินทร์
ภาพบังคับ มุมมหาชน กระซิบรัก
แวะซุ้มลีลาวดีหน้าพิพิธภัณฑ์เมืองน่านนิดหน่อยก่อนจะไปวัดอื่นต่อ
วัดพระธาตุเขาน้อย อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ใครอยากมาชมวิวเมืองน่านจากมุมสูงย่อมไม่พลาด
นี่คือพระธาตุเขาน้อยองค์จริงเสียงจริง
ต่อกันที่วัดมิ่งเมือง วัดซึ่งประดิษฐานศาลหลักเมืองของเมืองน่านไว้ที่นี่
สุดท้ายของทริปนี้กันที่วัดพระธาตุแช่แห้ง เสียดายมากวันที่ผมไปองค์พระธาตุกำลังปรับปรุง เลยไม่ได้เห็นความสวยงามขององค์พระธาตุ
สุดท้ายจริง ๆ กับการเดินทางกลับสนามบินน่านนคร สถานที่แรกที่เรามาถึงเมื่อแตะแผ่นดิน จ. น่าน
ทริปนี้แม้จะเป็นทริปสั้น ๆ 2 วัน 1 คืน แต่ผมก็ประทับใจมาก เที่ยวครบรสทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรม
ในจังหวัดเดียว อยากให้ทุกคนลองนะครับ ถ้าคุณเหนื่อยล้าให้ลองมาน่าน คุณจะเหนื่อยกว่าเดิม เอ้ย!!! คุณจะมีความสุขครับ
ณัฐ นรินทร์
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.29 น.