จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่นอกจากจะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนักแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เที่ยวชมกันได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน, ฤดูฝน หรือฤดูหนาว ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรีก็จะมีทั้งน้ำตก, ถ้ำ, เขื่อน, วัด, พิพิธภัณฑ์, อุทยานประวัติศาสตร์ และสถานที่ต่าง ๆ ที่สำคัญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และด้วยความที่จังหวัดนี้มีสถานที่เที่ยวเยอะมากจนทำให้เลือกไม่ถูก วันนี้เราจึงรวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นในจังหวัดกาญจนบุรีที่ต้องปักหมุด Check-In มาให้อ่านกัน ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมหยิบมือถือมาปักหมุด Google Map ได้เลยค่ะ ^^


1. สะพานข้ามแม่น้ำแคว

“สะพานข้ามแม่น้ำแคว” ตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์หรือแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรีที่ใคร ๆ ก็มักนึกถึงและต้องแวะมาเที่ยวชมกันค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วยังเป็นอนุสรณ์ของสงครามมหาเอเชียบูรพาอีกด้วยค่ะ โดยสร้างขึ้นจากแรงงานของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะเลยทีเดียวค่ะ และด้วยความที่การสร้างสะพานเป็นไปอย่างยากลำบาก ประกอบกับความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกเสียชีวิตลงหลายหมื่นคน ปัจจุบันจึงมีการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพนั่นเองค่ะ

รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

จุดเด่นหรือไฮไลต์ของการมาเที่ยวชมสะพานข้ามแม่น้ำแควเลยก็คือ การได้เดินบนทางรถไฟที่มีระยะทาง 300 เมตรค่ะ ซึ่งทางการรถไฟแห่งประเทศไทยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินบนทางรถไฟได้ค่ะ โดยสามารถชมธรรมชาติสวยงามของแม่น้ำแควทั้งสองฝั่ง หรือโพสท่าถ่ายรูปสวย ๆ กลางสะพานได้ แต่ต้องฟังหรือระวังสัญญาณรถไฟผ่านมาให้ดีด้วยนะคะ เนื่องจากบนสะพานข้ามแม่น้ำแควยังมีรถไฟสัญจรเป็นปกติทุกวันค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 71000

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/yp3Zij5sDG2BDrt69

📞 โทร: การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร.02-621-8701 ต่อ 5202

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 19.00 น.


2. ทางรถไฟสายมรณะ

“ทางรถไฟสายมรณะ” เป็นเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ไทย-พม่า รวมระยะทางกว่า 415 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นสัญลักษณ์ที่บอกเล่าเรื่องราวความโหดร้าย ทารุณ และยากลำบากของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรจำนวนมากที่ต้องสังเวยชีวิตลงจนกลายเป็นคำเล่าขานว่า “หากนับหมอนหนุนรางรถไฟมีเท่าไหร่ จำนวนเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายนี้ก็ตายไปเท่านั้น” นั่นเองค่ะ โดยทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นจากการที่กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์แรงงานของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชียมาสร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อใช้เป็นเส้นทางสายยุทธศาสตร์ผ่านไปยังประเทศพม่า ถือได้ว่าทางรถไฟสายนี้เป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ของสงครามในครั้งนั้นเลยทีเดียวค่ะ

ปัจจุบันการรถไฟฯ ได้เปิดรอบการเดินรถบนเส้นทางสาย “ธนบุรี-น้ำตก” ทุกวัน และจัดรถไฟขบวนพิเศษสาย “กรุงเทพฯ - น้ำตก” เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการค่ะ ซึ่งรถไฟสายนี้จะวิ่งลัดเลาะตามหน้าผาสูงชันเลียบกับแม่น้ำแควน้อยและจอดที่สถานีถ้ำกระแซในเวลา 13.30 น. โดยจุดไฮไลต์ของทางรถไฟสายมรณะก็คือบริเวณถ้ำกระแซหรือช่วงโค้งมรณะ เนื่องจากบริเวณนี้มีบรรยากาศและทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุด จนทำให้บรรดาช่างภาพต่างเฝ้ารอเวลาที่รถไฟแล่นไปตามโค้งภูเขา เพื่อถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ ปัจจุบันเส้นทางรถไฟสายนี้จะไปสิ้นสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตกไทรโยคน้อย

รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

📍 ปักหมุดได้ที่: ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/QLdoftrpNv9kF8sc8

📞 โทร: -

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น.


3. ถ้ำกระแซ

“ถ้ำกระแซ” ตั้งอยู่ติดกับเส้นทางรถไฟสายมรณะ บริเวณช่วงโค้งมรณะ ซึ่งถ้ำกระแซเป็นแลนด์มาร์กสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรีที่ห้ามพลาดเลยค่ะ เนื่องจากเป็นทั้งจุดชมวิวของรถไฟที่เดินทางผ่านรางริมหน้าผาและจุดชมวิวแม่น้ำแควที่สวยงามที่สุดและอันตรายที่สุด โดยด้านซ้ายติดแม่น้ำแควน้อยที่ไหลคดโค้งและด้านขวาเลียบด้วยหน้าผาสูงชันคดโค้งชวนให้หวาดเสียว เมื่อมองลงไปข้างล่างก็แทบจะเข่าทรุดเลยทีเดียว นอกจากนั้นที่นี่ยังเคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อตอนที่สร้างทางรถไฟสายมรณะและสะพานข้ามแม่น้ำแควในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีลักษณะเป็นถ้ำขนาดเล็ก ภายในถ้ำค่อนข้างปลอดโปร่งและมี “หลวงพ่อถ้ำกระแซ” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานให้ผู้คนได้กราบไหว้สักการะอยู่ด้วยค่ะ

หากเดินทางมาเที่ยวถ้ำกระแซพร้อมกับชมธรรมชาติสวย ๆ ริมแม่น้ำแคว แนะนำว่าให้มาเส้นทางที่มายังรีสอร์ตสวนไทรโยคจะดีกว่า แม้ว่าจะอยู่ไกลจากปากถ้ำกระแซและสถานีรถไฟไปพอสมควรซะหน่อย แต่ถ้าได้เดินชมวิวสวย ๆ ริมแม่น้ำแควก็เพลิดเพลินไม่ใช่น้อยค่ะ และระหว่างเดินไปถ่ายรูปสวย ๆ บนรางรถไฟหรือสะพานถ้ำกระแซที่เป็นสะพานไม้เลียบหน้าผายาวประมาณ 400-450 เมตร ก็ต้องระวังในการเดินและระวังรถไฟด้วยนะคะ เพราะที่นี่ยังคงเปิดให้รถไฟวิ่งได้ตามปกติค่ะ ส่วนใครที่ต้องการนั่งรถไฟระยะสั้น ๆ ประมาณ 600 เมตร ก็สามารถไปรอที่สถานีรถไฟถ้ำกระแซ-สวนไทรโยค หรือสวนไทรโยค-ถ้ำกระแซได้ 2 รอบ คือรอบเวลา 08.00 น. และ 14.30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ

รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

📍 ปักหมุดได้ที่: ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/QLdoftrpNv9kF8sc8

📞 โทร: -

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 - 18.00 น.


Credit by: https://pixabay.com/th/

4. วัดถ้ำเสือ

“วัดถ้ำเสือ” ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงในอำเภอท่าม่วง ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยนะคะ เพราะนอกจากจะเป็นวัดไทยสุด Unseen ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ที่นี่ยังเป็นวัดสวยกลางทุ่งนาที่สามารถชมทุ่งนาเขียวขจีสวยงามบริเวณรอบ ๆ วัดในช่วงฤดูทำนาอีกด้วยค่ะ แต่เดิมนั้นวัดแห่งนี้เป็นเพียงสำนักสงฆ์ขนาดเล็กในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา ต่อมาชาวบ้านจึงได้ร่วมกันสร้างและบูรณะจนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โตและมีความวิจิตรสวยงามค่ะ โดยภายในวัดประกอบด้วยอาคารและเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมหลากหลายแบบด้วยกันทั้งแบบไทย, แบบจีน, แบบญี่ปุ่น และแบบผสมผสานค่ะ

จุดเด่นของวัดถ้ำเสือคือ “หลวงพ่อชินประทานพร” ที่เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรขนาดใหญ่ที่สุดตั้งประดิษฐานอยู่บนเนินเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 ซึ่งตัวองค์พระนั้นประดับตกแต่งด้วยโมเสกสีทองอร่ามทั้งองค์อย่างสวยงามโดดเด่น มองเห็นมาแต่ไกลค่ะ และมี “พระอุโบสถอัฏฐมุขทรงไทย” ที่ประดับลวดลายสวยงาม นอกจากนั้นบริเวณใกล้กับองค์พระยังมี “พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท” ที่เป็นพระเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมสีอิฐทั้งองค์ แบ่งเป็น 9 ชั้นและมีบันไดเวียนอยู่ตรงกลางให้เดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด โดยภายในพระเจดีย์แต่ละชั้นมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม รวมถึงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ มากมาย และชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดียค่ะ

Credit by: https://pixabay.com/th/

📍 ปักหมุดได้ที่: ตำบลท่าม่วงชุม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี 71110

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/1EVweP1Ter7Pq2FQ9

📞 โทร: 088-457-8778

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น.


5. ต้นจามจุรียักษ์

“ต้นจามจุรียักษ์” ตั้งอยู่ที่บ้านเขาตก หมู่บ้านกสิกรรม ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง ซึ่งต้นจามจุรียักษ์มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาดลำต้นใหญ่เท่า 10 คนโอบและสูงถึง 20 เมตรเลยทีเดียวค่ะ โดยกิ่งก้านใบที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างอย่างสวยงามร่มรื่นนั้นตั้งพุ่มเขียวขจีให้ร่มเงาครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งไร่เศษและรากของต้นไม้แต่ละแขนงที่มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับกิ่งก้านยังแผ่ขยายไปทั่วอาณาเขตอีกด้วยค่ะ ด้วยขนาดใหญ่อลังการของต้นจามจุรียักษ์นี้เอง ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างแวะเข้ามาเที่ยวชมและถ่ายรูปสวย ๆ อย่างไม่ขาดสายค่ะ

นอกจากนั้นต้นจามจุรียักษ์ยังมีสะพานวงกลมแบบยกพื้นสูงเหนือพื้นดินล้อมรอบลำต้นไว้สำหรับเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน หลบแดดหลบฝน ตากลมเย็น ๆ ใต้ต้นไม้ หรือเดินถ่ายรูปเล่นรอบสะพานก็เพลิดเพลินไม่ใช่น้อยค่ะ เมื่อก้าวเข้าไปยืนหรือนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นจามจุรียักษ์ที่สงบร่มเย็นก็จะรู้สึกว่าตัวเรานั้นช่างตัวเล็กนิดเดียวไปถนัดตา ราวกับย้ำเตือนให้ระลึกเสมอว่าต่อให้มนุษย์สวยงาม ฉลาดหลักแหลม ร่ำรวย หรือมีชื่อเสียงโด่งดังมากมายเพียงใด สุดท้ายก็ไม่มีใครยิ่งใหญ่เกินกว่าธรรมชาติค่ะ และหากมาเที่ยวชมที่นี่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนสิงหาคมก็จะเห็นต้นจามจุรียักษ์ออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งอย่างสวยงามน่าจับตาค่ะ

รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

📍 ปักหมุดได้ที่: บ้านเขาตก หมู่บ้านกสิกรรม ตำบลเกาะสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 71000

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/DBLaMp313BxRwfNC6

📞 โทร: 03-467-1840

🏡 เปิด: ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. และทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น.


6. น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น

“น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น” ตั้งอยู่ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 108 กิโลเมตร ซึ่งน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมีต้นกำเนิดจากเทือกเขากะลาที่อยู่ทางทิศตะวันออกของอุทยานฯ ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ แบ่งออกเป็น 7 ชั้น โดยน้ำตกแต่ละชั้นก็จะมีความสูงและความสวยงามแตกต่างกันไป ด้วยบรรยากาศที่รายล้อมด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์อย่างป่าเขาและพันธุ์ไม้นานาชนิดทั่วบริเวณประกอบกับม่านน้ำตกที่ไหลลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นเล็กชั้นน้อยอย่างสวยงามนี้เอง ทำให้น้ำตกแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกยอดนิยมที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปีและเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี จึงมีนักท่องเที่ยวต่างแวะมาเที่ยวชมห้วยแม่ขมิ้นกันอย่างไม่ขาดสายโดยไม่รู้เบื่อเลยทีเดียวค่ะ

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงน้ำตกชั้นที่ 4 มีระยะทางเพียง 300-750 เมตร แต่น้ำตกชั้นที่ 5 ขึ้นไปจนถึงน้ำตกชั้นบนสุดมีระยะทางมากกว่า 1 กิโลเมตร ซึ่งน้ำตกแต่ละชั้นก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน เริ่มจากน้ำตกชั้นที่ 1 “ดงว่าน”, น้ำตกชั้นที่ 2 “ม่านขมิ้น”, น้ำตกชั้นที่ 3 “วังหน้าผา”, น้ำตกชั้นที่ 4 “ฉัตรแก้ว”, น้ำตกชั้นที่ 5 “ไหลจนหลง”, น้ำตกชั้นที่ 6 “ดงผีเสื้อ” และน้ำตกชั้นที่ 7 “ร่มเกล้า” ค่ะ โดยน้ำตกชั้นที่สวยงามที่สุดคือน้ำตกชั้นที่ 4 “ฉัตรแก้ว” ที่มีสายน้ำไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ คล้ายผ้าม่าน หากใครชอบถ่ายภาพม่านน้ำตก แนะนำว่าให้มาช่วงเดือนตุลาคมจนถึงเดือนเมษายนจะดีที่สุดค่ะ นอกจากนั้นทางอุทยานยังทำเส้นทางเดินขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้น, เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และพื้นที่/บริการกางเต็นท์พักแรมอีกด้วย

📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/JBiCiZ9SfvTSo4qg6

📞 โทร. -

💸 เสียค่าเข้าชม:

คนไทย >> เด็ก ราคา 30 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 60 บาท
ชาวต่างชาติ >> เด็ก ราคา 150 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 300 บาท

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น.


7. เขื่อนศรีนครินทร์

“เขื่อนศรีนครินทร์” แต่เดิมนั้นมีชื่อว่า “เขื่อนเจ้าเณร” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 ตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านเจ้าเณร ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ ซึ่งเขื่อนศรีนครินทร์นอกจากจะเป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งแรกของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลองที่สร้างขึ้นบนแม่น้ำแควใหญ่แล้วยังเป็นเขื่อนประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย โดยเขื่อนแห่งนี้มีความสูงจากฐานราก 140 เมตร สันเขื่อนยาว 610 เมตร กว้าง 15 เมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำ 419 ตารางกิโลเมตร และมีความจุมากเป็นอันดับหนึ่งคือ 17,745 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านชลประทาน, ผลิตกระแสไฟฟ้า, ด้านอุทกภัย, ด้านคมนาคม และด้านประมง เป็นต้น ปัจจุบันเขื่อนศรีนครินทร์กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและสถานที่พักผ่อนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีค่ะ

จุดเด่นหรือไฮไลต์ของเขื่อนศรีนครินทร์คือถนนสันเขื่อนที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวสวยงามที่สุด โดยด้านหนึ่งเป็นทะเลสาบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาและมีเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ ส่วนอีกด้านเป็นกำแพงเขื่อนสูงลิ่ว เมื่อมองลงไปด้านล่างก็จะเห็นประตูระบายน้ำและแม่น้ำแม่กลองไหลคดเคี้ยวไปตามหุบเขาค่ะ หากมาเที่ยวชมในช่วงปลายฝนต้นหนาวอาจพบปุยหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งในตอนเย็นยามพระอาทิตย์ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงลับขอบฟ้า สะท้อนแสงสีทองจาง ๆ สวยงามไปอีกแบบ นอกจากนั้นยังมีต้นไม้และแปลงดอกไม้สวย ๆ, สวนเวลารำลึก และเรือสำหรับนั่งชมวิวทิวทัศน์ในทะเลสาบให้ได้ชมกัน ส่วนภายในเขื่อนมีเรือนแพต่าง ๆ สำหรับท่องเที่ยว กินอาหาร และพักผ่อนให้เลือกใช้บริการ ด้วยความที่เขตพื้นที่เขื่อนและบริเวณใกล้เคียงยังคงมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก ทำให้เขื่อนแห่งนี้เป็นเขื่อนเพียงแห่งเดียวที่ถูกยกให้เป็นอุทยานแห่งชาตินั่นเองค่ะ

รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/c9DeMahd5aTvAwAXA

📞 โทร. 034-574-001 ต่อ 2455, 2457

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น.


8. อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์

“อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์” หรือเรียกอย่างสั้น ๆ ว่า “ปราสาทเมืองสิงห์” ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยในตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ซึ่งปราสาทเมืองสิงห์เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของไทยและเป็นโบราณสถานแบบขอมเพียงแห่งเดียวของจังหวัดกาญจนบุรีที่ยังเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน โดยสร้างตามแบบศิลปะลพบุรีตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ 16-18 คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรือรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์นักสร้างปราสาทของอาณาจักรขอมที่ปกครองพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลางของไทย (ก่อนอาณาจักรสุโขทัย) ต่อมาอาณาจักรขอมล่มสลาย ทำให้ที่นี่ถูกทิ้งร้างผุพังจนเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันค่ะ

ลักษณะผังเมืองของอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีประตูเข้าออก 4 ด้าน ส่วนกำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบด้วยคูน้ำคันดินค่ะ เมื่อเข้ามาภายในอุทยานจะมีต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น สามารถเดินชมได้ทั้งวัน และมีจุดแวะให้ศึกษาข้อมูลหลายแห่ง โดยสามารถสแกน QR Code ภาษาต่าง ๆ ทั้งไทย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และจีน เพื่อใช้บรรยายสถานที่สำคัญภายในปราสาทเมืองสิงห์สำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจุดเด่นหรือไฮไลต์ของปราสาทเมืองสิงห์คือ ตัวปราสาทโบราณหรือโบราณสถานหมายเลข 1 ที่ตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มโบราณสถานและใช้เป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปศิลปะขอม นอกจากนั้นบริเวณปราสาทติดกับแม่น้ำยังมีหลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่ขุดพบทั้งโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์, เครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับโลหะอีกด้วยค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/oFoJXayQX7Au4Aos5

📞 โทร. 03-467-0264

👍 Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/muangsinghp

💸 เสียค่าเข้าชม: คนไทย ราคา 10 บาท / รถยนต์ ราคา 50 บาท / ชาวต่างชาติ ราคา 40 บาท

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.30 น.


9. สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก

“สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก” หรือ “สุสานทหารสหประชาชาติ” หรือชาวกาญจนบุรีเรียกกันอย่างสั้น ๆ ว่า “ป่าช้าอังกฤษ” ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง ซึ่งสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรักเป็นสุสานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 17 ไร่ มีหลุมฝังศพของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรชาติต่าง ๆ ทั้งชาวออสเตรเลีย, อังกฤษ, ฮอลแลนด์, เดนมาร์ก, นิวซีแลนด์ และแคนาดา ที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 6,982 หลุม โดยเหนือหลุมฝังศพทุกหลุมมีแผ่นทองเหลืองจารึกชื่อ, อายุ, ตำแหน่ง, สัญลักษณ์กองทัพ, ประเทศของผู้เสียชีวิต และบรรทัดสุดท้ายเป็นคำไว้อาลัยที่โศกเศร้า สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตและเป็นเครื่องเตือนใจถึงภัยสงครามว่าทำลายโลกนี้มากมายขนาดไหนค่ะ

บรรยากาศภายในสุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรักนั้นเงียบสงบและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่ตกแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม ในทุก ๆ วันก็จะมีช่อดอกไม้, ธงชาติ และการ์ดแสดงความอาลัยจากครอบครัว รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างเดินทางมาร่วมไว้อาลัยอย่างสงบค่ะ.ดังนั้นหากต้องการมาเที่ยวชมภายในสุสานควรเข้าชมด้วยความสงบและเคารพต่อผู้ที่จากไปนะคะ เพื่อเป็นการให้เกียรติและเคารพสถานที่ค่ะ ส่วนใครที่ต้องการมาศึกษาประวัติศาสตร์ห้ามพลาดชมเด็ดขาด และในทุก ๆ ปีที่นี่ก็จะมีวันระลึกถึงผู้เสียชีวิตเฉพาะของคนชาติต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีหลุมฝังศพของทหารกองทัพอินเดียจำนวน 11 คนซึ่งฝังอยู่ตามสถานที่อื่นในไทยที่ไม่สามารถดูแลรักษาได้ โดยจารึกรายชื่อเหล่านั้นไว้ที่ผนังตึกบริเวณทางเข้าสุสานค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: 284/66 ถนนแสงชูโต ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/ordX3mtLZJBViUig9

📞 โทร. -

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น.


10. หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2

“หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2” ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ริมแม่น้ำแควใหญ่ อำเภอเมือง ซึ่งหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่ก่อตั้งโดยคุณอรัญ จันทร์ศิริ ในปี พ.ศ. 2538 เพื่อจัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มากมายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยภายนอกอาคารจะมีซากรถจักรไอน้ำและเครื่องบินจัดแสดงอย่างโดดเด่น ส่วนภายในอาคารก็จะมีทั้งภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพขาว-ดำจัดแสดงให้เห็นถึงสภาพของเชลยศึกสงคราม และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในสมัยนั้น เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์, เครื่องบินรบ, ยานพาหนะของทหารญี่ปุ่น, ของสะสมส่วนตัว, ของใช้ในชีวิตประจำวัน, เงินเก่าโบราณที่เก็บสะสมไว้ในตู้ เป็นต้น

จุดเด่นหรือไฮไลต์ของหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ หุ่นจำลองสามมิติที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น เชลยศึกถูกเกณฑ์แรงงานไปสร้างทางรถไฟสายมรณะ, ความเป็นอยู่ของเชลยศึก, จุดแรกของการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควที่ทำด้วยไม้ก่อนจะย้ายไปยังพื้นที่ปัจจุบัน และที่สำคัญคือมีการสร้างห้องจำลองเหตุการณ์ระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำแควอีกด้วยค่ะ นอกจากนั้นที่นี่ยังมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่สงครามระหว่างไทย-พม่า และเรื่องราวอื่น ๆ อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 กับการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว, หินแร่ และเครื่องประดับ, เครื่องแต่งกายไทยที่เป็นเครื่องแต่งกายผู้หญิง และถ้ำมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 71000

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/Z2RgWLaasYmCfUVc9

📞 โทร. 03-451-2596

💸 เสียค่าเข้าชม: เด็ก ราคา 10 บาท / คนไทย ราคา 20 บาท / ชาวต่างชาติ ราคา 40 บาท

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.30 น.


11. น้ำตกเอราวัณ

“น้ำตกเอราวัณ” เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดของภาคตะวันตก ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ อำเภอศรีสวัสดิ์ บริเวณฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ แต่เดิมนั้นเรียกว่า “น้ำตกสะด่องม่องลาย” ที่มาจากชื่อของ “ห้วยม่องลาย” ลำธารอันเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกค่ะ ซึ่งไหลพาดผ่านลงมาจากยอดเขาผ่านหน้าผาเป็นระยะทางต่อเนื่องกันประมาณ 1,500 เมตร จนเกิดเป็นน้ำตกลดหลั่นกันถึง 7 ชั้น และน้ำตกแต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป โดยน้ำตกชั้นที่ 7 ที่เป็นน้ำตกชั้นบนสุดจะมีสายน้ำไหลบ่าลงมาผ่านเชิงผาที่หากมองหน้าผาตรงหน้าไกล ๆ จะมีลักษณะเหมือนเป็นช้างสามเศียรหรือหัวช้างเอราวัณ จนกลายเป็นที่มาของชื่อ “น้ำตกเอราวัณ” นั่นเองค่ะ

หากต้องการพิชิตน้ำตกเอราวัณทั้งหมด 7 ชั้น แนะนำว่าให้มาในช่วงเช้า ๆ ตั้งแต่อุทยานเปิดให้เข้าชมน้ำตกจะดีที่สุด เพราะนอกจากต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 3 ชั่วโมงในการเดิน-ขึ้นลงแล้ว คนที่มาเที่ยวชมจะน้อยกว่าช่วงสาย ๆ และแดดก็ไม่ร้อนมากนักด้วยค่ะ ทำให้เวลาเดินขึ้นน้ำตกไม่เหนื่อยมากนัก ซึ่งจุดเด่นหรือไฮไลต์ของน้ำตกแห่งนี้ก็คือธารน้ำสีฟ้าอมเขียวมรกตที่อยู่ท่ามกลางป่าเขา และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกกลมกลืนกับธรรมชาติสุด ๆ และยิ่งถ้าได้ชมน้ำตกในยามที่แสงแดดส่องลงมาสะท้อนหรือกระทบกับผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวมรกต บอกเลยว่าสวยงามสุด ๆ จนต้องถ่ายภาพเก็บไว้ค่ะ นอกจากนั้นยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ผ่านป่าดิบเขาให้เดินชมอีกด้วย แต่ต้องมีเจ้าหน้าที่หรือไกด์นำทางพาเดินป่าด้วยนะคะ ถึงจะปลอดภัย

🌲 ดูรีวิวน้ำตกเอราวัณฉบับเต็มได้ที่ “เที่ยว “น้ำตกเอราวัณ” ก่อนโควิดระบาดรอบ 2

📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานแห่งชาติเอราวัณ หมู่ 4 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี 71250

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/UmioVuyytGLtaxBK8

👍 Facebook: https://www.facebook.com/อุทยานแห่งชาติเอราวัณ-Erawan-National-Park-580314699117381/

📞 โทร. 03-457-4222, 034-574-234, 034-574-288

💸 เสียค่าเข้าชม:

คนไทย
เด็ก >> (เดิม) ราคา 50 บาท / (ใหม่) ราคา 30 บาท***
ผู้ใหญ่ >> (เดิม) ราคา 100 บาท / (ใหม่) ราคา 60 บาท***

ชาวต่างชาติ
เด็ก >> (เดิม) ราคา 200 บาท / (ใหม่) ราคา 150 บาท***
ผู้ใหญ่ >> ราคา 300 บาท

ยานพาหนะ
รถยนต์ >> 30 บาท
รถจักรยานยนต์ >> 20 บาท

***ทั้งนี้ค่าเข้าชม (ใหม่) นี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไปค่ะ***

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น.


Credit by: https://www.facebook.com/tatkan/photos/pcb.4360852440658126/4360733350670035/

12. พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า

“พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า” เป็นอาคาร 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ซึ่งพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประเภทพิพิธภัณฑ์ภาพถ่าย (Gallery Museum) ที่จัดแสดงภาพถ่ายและฉายฟุตเทจเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ทางรถไฟสายมรณะ” ไว้อย่างละเอียด โดยเริ่มตั้งแต่การเข้ามาของกองทัพญี่ปุ่น, การออกแบบและสร้างทางรถไฟ, สภาพภูมิศาสตร์ของทางรถไฟ, สภาพชีวิตของเชลยศึกอันน่าหดหู่ในค่ายเชลย, เรื่องราวด้านการแพทย์ สงคราม ปฏิบัติการทางรถไฟ, การทิ้งระเบิดทำลายทางรถไฟ ไปจนถึงเหตุการณ์ภายหลังจากที่สงครามยุติลงค่ะ

Credit by: https://www.facebook.com/tatkan/photos/pcb.4360852440658126/4360735580669812/

📍 ปักหมุดได้ที่: 73 ถนนเจ้าขุนเณร ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี 71000

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/ey3jRfA3JzRKERw18

📞 โทร. 03-451-2721

💸 เสียค่าเข้าชม: เด็ก ราคา 70 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 100 บาท / ชาวต่างชาติ ราคา 150 บาท

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.


13. น้ำตกไทรโยคน้อย

“น้ำตกไทรโยคน้อย” เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมาช้านานอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค ห่างจากอำเภอเมือง 60 กิโลเมตร แต่เดิมนั้นเรียกว่า “น้ำตกเขาพัง” ซึ่งชื่อ “น้ำตกเขาพัง” มีที่มาจากการที่ต้นกำเนิดเป็นน้ำผุดจากภูเขาไหลมาตามลำธารเล็ก ๆ ตกลงมายังหน้าผาหินปูนที่พังทลายลงมาจนเกิดโขดหินลดหลั่นกันอยู่บริเวณเชิงเขานั่นเองค่ะ โดยน้ำตกไทรโยคน้อยเป็นน้ำตกชั้นเดียวที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนักคือ สูงประมาณ 15 เมตรแผ่กระจายไปตามพื้นเขาลาดเอียงภายใต้ร่มเงาของพันธุ์ไม้นานาชนิดและมีแอ่งสำหรับเล่นน้ำ ส่วนบริเวณโดยรอบของน้ำตกมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนจะมีน้ำมากให้ได้เล่นน้ำอย่างชุ่มฉ่ำสุด ๆ ไปเลยค่ะ

รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

นอกจากน้ำตกไทรโยคจะมีน้ำตกที่สวยงามให้เที่ยวชมและสัมผัสถึงอากาศบริสุทธิ์เย็นสดชื่นแล้วยังมีหัวรถจักรไอน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตั้งแสดงไว้ไม่ไกลกัน เพื่อรำลึกถึงการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่สร้างผ่านหน้าบริเวณน้ำตกเข้าสู่ประเทศพม่าค่ะ อีกทั้งบริเวณด้านหน้าน้ำตกยังมีร้านค้าต่าง ๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ร้านขายของที่ระลึกมาตั้งขายหลายร้านอย่างคึกคัก โดยเฉพาะเมนูของทอด ไม่ว่าจะเป็นกล้วยทอด, มันทอด, เผือกทอด, หมูทอด และเนื้อทอด แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือร้านส้มตำ ไก่ย่าง เหมาะสำหรับการนั่งปิกนิกข้างน้ำตกและพักผ่อนหย่อนใจค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานแห่งชาติไทรโยค ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/LiqhWYEhTUfRyVD89

📞 โทร. 03-468-6024

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.00 น.


14. พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำช่องเขาขาด

“พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำช่องเขาขาด” หรือเรียกกันอย่างสั้น ๆ ว่า “ช่องเขาขาด” ตั้งอยู่บริเวณกองส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อำเภอไทรโยค ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อยไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร ทางเข้าพิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งพิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำช่องเขาขาดเป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เชลยศึกสงครามและกรรมกรหลายหมื่นคนที่เสียชีวิตจากการสร้างทางรถไฟสายมรณะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบาก, ความโหดร้ายทารุณ, ความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บค่ะ โดย “นายเจ จี ทอม มอร์ริส” หนึ่งในอดีตเชลยศึกชาวออสซี่ได้กลับมาสร้างอนุสรณ์สถานนี้ขึ้นภายใต้ความร่วมมือของไทยและออสเตรเลียค่ะ

พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำช่องเขาขาดมีบริเวณการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ นิทรรศการภายในอาคารและช่องเขาขาดที่เป็นสถานที่จริงทางด้านหลังอาคารค่ะ ซึ่งนิทรรศการภายในอาคารจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟสายมรณะและความโหดร้ายป่าเถื่อนของสงครามผ่านสื่อมัลติมีเดีย ภาพถ่าย หุ่นจำลอง และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของเชลยศึกที่หลงเหลือมาในอดีตค่ะ เมื่อออกมาทางด้านหลังอาคารก็จะเป็นเส้นทางเดินลงไปยังบริเวณช่องเขาขาดที่เชลยศึกสงครามร่วมกันสร้างขึ้นอย่างยากลำบากค่ะ โดยบรรยากาศระหว่างทางเป็นไปอย่างเงียบสงบ ประดับธงชาติ และดอกป๊อปปี้อยู่เป็นระยะ เพื่อระลึกถึงผู้ล่วงลับให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความเลวร้ายจากภัยสงคราม หากใครต้องการลงไปชมช่องเขาขาดที่เป็นพื้นที่จริง แนะนำว่าควรสวมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าที่มีพื้นหนา เนื่องจากมีหินลาดทางอยู่ อย่าลืมพกน้ำดื่ม 1 ขวดไปด้วย และไม่ควรแตะต้องสิ่งของที่วางอยู่ในพื้นที่นั้นค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: กองส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/6L431ZtBajnGsf3p9

📞 โทร. 03-491-9605, 081-733-0328

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น.


รูปนี้ที่พี่ถ่าย ^^

15. น้ำตกไทรโยคใหญ่

“น้ำตกไทรโยคใหญ่” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “น้ำตกเขาโจน” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยคเช่นเดียวกับน้ำตกไทรโยคน้อย ถือเป็นน้ำตกที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองจังหวัดกาญจนบุรีมาช้านาน เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จประพาสถึง 2 ครั้ง ทำให้น้ำตกแห่งนี้ได้รับความนิยมเรื่อยมาค่ะ ซึ่งน้ำตกไทรโยคใหญ่เป็นหนึ่งในน้ำตกไทรโยค 2 สายที่มีต้นน้ำมาจากพุต้นน้ำในผืนป่าของอุทยานแห่งชาติไทรโยคไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อย โดยน้ำตกแห่งนี้มีความสวยงามแตกต่างจากน้ำตกแห่งอื่นตรงที่ด้านหน้าของน้ำตกเป็นแม่น้ำแควน้อยและสายน้ำของน้ำตกจะไหลลงมาจากหน้าผาสูงเกือบ 10 เมตร เป็นลักษณะน้ำตกชั้นเดียวขนาดใหญ่ที่มีน้ำตลอดทั้งปี ส่วนบริเวณด้านบนน้ำตกปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดที่ให้ความร่มรื่นสวยงาม หากต้องการชมความสวยงามของน้ำตกก็สามารถชมได้จากจุดชมวิวสะพานแขวนไทรโยคได้ค่ะ

บริเวณรอบน้ำตกริมแม่น้ำแควน้อยเรียงรายไปด้วยเรือนแพต่าง ๆ เช่น เรือนแพที่พัก, เรือนแพร้านอาหาร และแพลาก คอยให้บริการนักท่องเที่ยวค่ะ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมทางน้ำต่าง ๆ อย่างการล่องเรือแม่น้ำแควน้อยไปชมน้ำตกไทรโยคเล็กที่สูงประมาณ 500 เมตร และล่องแพชมธรรมชาติสวยงามสองข้างทางค่ะ ส่วนใครต้องการเที่ยวชมหินงอกหินย้อยที่สวยงามก็ สามารถแวะชมได้ที่ถ้ำดาวดึงส์, ถ้ำละว้า และถ้ำแก้วค่ะ สำหรับคนที่ต้องการมาเที่ยวน้ำตกไทรโยคใหญ่ในช่วงฤดูฝนอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ เนื่องด้วยมีน้ำป่าไหลหลาก อาจทำให้เกิดอันตรายได้ค่ะ

📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานแห่งชาติไทรโยค หมู่ 7 ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/WDgHYd3f1XX1W5wC7

👍 Facebook: https://www.facebook.com/SaiYokNationalPark

📞 โทร. 089-028-1958, 034-686-024

💸 เสียค่าเข้าชม:

คนไทย
เด็ก >> (เดิม) ราคา 50 บาท / (ใหม่) ราคา 30 บาท***
ผู้ใหญ่ >> (เดิม) ราคา 100 บาท / (ใหม่) ราคา 60 บาท***

ชาวต่างชาติ
เด็ก >> (เดิม) ราคา 200 บาท / (ใหม่) ราคา 150 บาท***
ผู้ใหญ่ >> ราคา 300 บาท

ยานพาหนะ
รถยนต์ >> 30 บาท
รถจักรยานยนต์ >> 20 บาท

***ทั้งนี้ค่าเข้าชม (ใหม่) นี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไปค่ะ***

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.00 น.


นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นที่เรารวบรวมมาให้อ่านแล้ว จังหวัดกาญจนบุรียังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ อีกตั้งมากมายให้เที่ยวชมกันชนิดที่ต้องมาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งเลยทีเดียว ถึงจะเที่ยวได้ครบทุกแห่ง สำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และธรรมชาติสวย ๆ ต้องแวะมาเที่ยวชมจังหวัดนี้กันนะคะ รับรองว่าเที่ยวได้ตลอดทั้งปีไม่มีวันเบื่ออย่างแน่นอนค่ะ ^^

Windy_love_Travel หญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยว

 วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 19.41 น.

ความคิดเห็น