ในที่สุดก็ได้ไปเที่ยวสักที !!! หลังจากห่างหายไปนานถึง 2 ปี เราจะไปเวียดนามกันครับ อีกหนึ่งประเทศที่กำลังฮิตเพราะเที่ยวแบบไม่กักตัว ไม่ต้องเตรียมเอกสารให้ยุ่งยาก ปลายทางของเราในทริปนี้คือเวียดนามกลาง อีกภูมิภาคที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพราะเดินทางสะดวก สถานที่ท่องเที่ยวก็หลากหลาย ทั้งหมู่บ้านพักตากอากาศบนเขา พระราชวังโบราณ และเมืองมรดกโลก และที่สำคัญเป็นครั้งแรกที่จะไปเที่ยวกับทัวร์เพราะเป็นทริปของบริษัท (ขอกราบผู้บริหาร) แต่ก่อนจะเดินทางเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนครับ
1. เอกสารสำหรับการเดินทาง: อัพเดท 08/2022 การผ่านเข้าเวียดนามใช้เพียงแค่พาสปอร์ตที่มีอายุเกิน 6 เดือนนับจากวันเดินทาง ส่วน Vaccine Passport ใช้ check in ก่อนขึ้นเครื่องที่ไทย (แนะนำให้สอบถามกับสายการบินก่อน)
2. การแลกเงิน: ใช้เงินสกุล VND เป็นหลัก บางสถานที่รับ USD หรือเงินบาท ให้แลกจากไทยเลย สะดวกดี
3. ซิมการ์ด: มีขายที่สนามบิน ถ้าไม่อยากยุ่งยากให้ซื้อจากไทย ราคาไม่ต่างมาก สัญญาณดี (บนบานาฮิลล์ก็ใช้ได้ปกติเลยครับ)
4. เครื่องแต่งกาย: เสื้อแขนยาว แว่นกันแดด หมวกและร่มต้องพร้อม เพราะเวียดนามกลางอากาศร้อนและแดดแรงมาก
5. ปลั๊กไฟมีทั้งแบบ 2 ขาและ 3 ขาเหมือนไทย กระแสไฟ 220 V
6. ใช้เขตเวลาเดียวกัน ไม่ต้องปรับนาฬิกา แต่พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วกว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมง
ถ้าพร้อมแล้ว เราไปลุยเวียดนามกันครับ !!!!
Bana Hill เมืองพักตากอากาศบนยอดเขาบานา ที่ถูกเนรมิตให้เป็นหมู่บ้านฝรั่งเศส ด้านบนมีสวนสนุก สวนดอกไม้ และมีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะ โดยเฉพาะสะพานมือยักษ์ที่เป็นจุดดึงดูดให้นักเที่ยวขึ้นมาบนบานาฮิลล์
Hue (เว้) คนเวียดนามจะออกเสียงว่า เ(ห)ว่ เมืองที่ถูกขนานนามว่าเป็นนครแห่งจักรพรรดิ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าในช่วงปี ค.ศ. 1802-1945 และเป็นศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์สุดท้ายในเวียดนาม
Hoi An(ฮอยอัน) เมืองขนาดเล็กในจังหวัดกว่างนัม ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในฐานะเมืองท่าที่เก่าแก่ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยอาคารเก่าสีเหลืองมัสตาร์ด จนกลายเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้
Da nang (ดานัง) ประตูสู่เวียดนามกลาง ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางผ่านไปยังเมืองอื่นอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นอีกเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของเวียดนาม
เราเดินทางสู่เวียดนามด้วยสายการบิน Vietjet ขั้นตอนการ check in เจ้าหน้าที่จะขอตรวจ Vaccine Passport ใครเดินทางช่วงนี้อาจจะต้องเตรียมเผื่อไว้ ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1.5-2 ชั่วโมง ก็เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเมืองดานัง
พิธีการผ่านเข้าเมืองก็สบายครับ ตม.ไม่ตรวจเอกสารเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเลย ใช้แค่พาสปอร์ต หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็นั่งรถบัสมุ่งหน้าสู่เมืองเว้ จากดานังไปเว้ ใช้เวลาประมาณ 90 นาที ไกด์เล่าว่าการเดินทางสมัยนี้สะดวกขึ้น เนื่องจากรัฐบาลเจาะอุโมงค์ทะลุผ่านภูเขา ทำให้การเดินทางไปยังเมืองเว้ประหยัด เวลามากขึ้น เทียบกับสมัยก่อนที่ต้องขับอ้อมขึ้นภูเขา ซึ่งช้าและเส้นทางอันตรายมากกว่า
สถานที่แรกในเว้ที่เราไปก็คือ ตลาดดงบา แต่ยังไม่ทันได้สำรวจตลาดก็โดนตกด้วย แหนมเนืองซะก่อน 😆
รสชาติคล้ายกินที่ไทยแต่น้ำจิ้มจะหวานกว่า ทีเด็ดของที่นี่คือหมูย่าง ต้องคารวะฝีมือการย่างของคนเวียดนามเลย ราคาไม้ละ 10,000 VND ส่วนแป้งที่ห่อผักมาให้ก็คำละ 10,000 VND เช่นกัน
ต่อด้วย แจ่ (Che) ขนมหวานของเวียดนาม มีความคล้ายขนมหวานที่ใส่กะทิของไทย มีเครื่องให้เลือกเยอะ ราคาแก้วนี้ 25,000 VND
ถ้าเลือกไม่ถูกให้สั่ง ถัดก๋ำ (Thap Cam) แปลว่ารวมมิตร รสชาติจะหวานกว่าขนมที่ไทยมากๆ
ตลาดดงบา (Cho Dong Ba) เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เป็นแหล่งรวมของสินค้าทุกอย่าง ของก๊อปเกรดเอ ของฝากต่างๆ และมีโซนด้านหลังที่เป็นตลาดขายของสดด้วย
ด้วยภูมิประเทศที่อยู่ติดทะเล อาหารทะเลที่นี่จึงสดและราคาถูกมาก ส่วนผักและผลไม้ต่างๆ ดูขนาดใหญ่กว่าที่ไทยเยอะเลย
ขนาดใหญ่มากถ้าเทียบกับที่ไทย
ไกด์สอนเทคนิคการต่อราคา ถ้าไม่ได้ราคาตามที่ขอ ให้เราเดินหนี เดี่ยวแม่ค้าจะวิ่งตามพร้อมลดราคาให้เอง
ปล. ต้องระมัดระวังทรัพย์สินมีค่าระหว่างเดินในตลาดด้วยนะครับ ถ้าเก็บไว้ข้างหลัง มันอาจจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป 😂
จากตลาดดงบานั่งรถเพียง 5 นาที ก็ถึงพระราชวังเมืองเว้ (Imperial Citadel city) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการเมืองเว้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหอม ถูกสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ยาลอง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน (Nguyen) การออกแบบวังได้รับอิทธิพลจากพระราชวังกู้กงของจีนภายในมีตำหนักมากมาย ใช้เวลาเดินทั้งวันก็อาจจะยังไม่ทั่ว
เวลาเปิด-ปิด 08.00-17.00
ค่าเข้าชม 150,000 VND
สมัยสงครามเวียดนาม พระราชวังได้รับความเสียหายมาก ภายหลังสงครามจบก็ยังไม่ได้รับการบูรณะ เพราะชาวเวียดนามมีความเชื่อว่าพระราชวังเป็นสัญลักษณ์ของระบบศักดินาในอดีต ต่อมาความคิดทาง การเมืองได้เปลี่ยนไป สถานที่นี้จึงได้รับการบูรณะและกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเว้
ทางเข้าวังมีปืนใหญ่ 9 กระบอก เป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 และอีก 4 กระบอกเป็นตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ฤดู ฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าของวัง มีลานกว้างและป้อมหอสังเกตุการณ์และธงชาติเวียดนามขนาดใหญ่
ความพีคเกิดขึ้นตอนที่เดินมาถึงหน้าพระราชวัง ถึงรู้ว่าพระราชวังปิดเพื่อทำการบูรณะ 😭 เศร้ามากๆ เลยทำได้แค่ถ่ายรูปจากด้านหน้าพระราชวังเท่านั้น รอให้บูรณะเสร็จจะกลับมาซ่อมที่นี่แน่นอน
หลังจากเข้าวังไม่ได้เลยเปลี่ยนโปรแกรม ไปนั่งรถซิกโลหรือรถสามล้อชมวิวรอบวังแทน อาคารที่อยู่รอบวังจะเป็นอาคารขนาดเล็กๆ เนื่องจากไม่สามารถสร้างสูงเกินพระราชวังได้ ทำให้อาคารขนาดใหญ่ ย่านธุรกิจ รวมถึงโรงแรมหรู จึงตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำหอมแทน
บรรยากาศยามเย็น รอบๆพระราชวัง
เสร็จจากที่พระราชวังเว้ เราก็นั่งรถข้ามฝั่งแม่น้ำหอมเพื่อมาล่องเรือมังกรและชมการแสดงดนตรีบนเรือ
แม่น้ำหอม ชื่อในภาษาเวียดนามคือ ซงเฮือง (Sông Hương) ที่มาของชื่อเกิดจากป่าที่เป็นแหล่งต้นน้ำ อุดมไปด้วยดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เมื่อดอกร่วงหล่นและลอยมาตามน้ำจึงทำให้เกิดกลิ่นหอมขึ้น
แต่เดิมการแสดงดนตรีบนเรือมังกรที่ล่องไปตามแม่น้ำหอม เป็นการแสดงเฉพาะสำหรับเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ต่อมารัฐบาลอนุญาติให้การแสดงนี้ สามารถจัดให้คนทั่วไปรับชมได้ การล่องเรือมังกรจึงกลายเป็นอีกไฮไลท์ของการมาท่องเที่ยวที่เมืองเว้
นักร้องส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มาจากมหาวิทยาลัยศิลปะชื่อดังของเว้ นอกจากเพลงเวียดนามแล้วยังมีเพลงไทยด้วยนะครับ ... ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ 9999 ดอก
จบการแสดงด้วยเพลงลอยกระทง ก่อนจะให้นักท่องเที่ยวปล่อยกระทงลงสู่แม่น้ำหอม
ปิดท้ายวันแรกด้วยร้านอาหารแถวโรงแรม รสชาติของอาหารภาคกลางจะค่อนข้างจืด ถ้าชอบทานรสจัดอาจจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ โชคดีที่เป็นคนกินง่าย กินอะไรก็อร่อย 😆
หลังจากแยกย้ายเข้าโรงแรมแทนที่จะพักผ่อน ก็หาทำด้วยการออกมาคาเฟ่ เป็นร้านดังที่มีสาขาทั่วเวียดนาม ชื่อร้าน Highlands Coffee
พนักงานแนะนำกาแฟดำใส่นมข้น ภาษาเวียดนามเรียก กาแฟเสือด๊า ( Ca Phe = กาแฟ; Sua = นม; Da = น้ำแข็ง )
ราคา: แก้วเล็ก 35,000 VND แก้วใหญ่ 39,000 VND
เช้าวันที่ 2 หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็ขอแวะคาเฟ่หน้าโรงแรมสักหน่อย คาเฟ่ที่เวียดนามไม่ค่อยเปิดแอร์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบมานั่งเก้าอี้เตี้ยๆ ที่หน้าร้านแทน จนกลายเป็นภาพที่ชินตา
ก่อนเดินทางไปยังบานาฮิลล์ เราแวะอีกสถานที่สำคัญของเมืองเว้คือ วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธนิกายเซน ด้านหน้าวัดมีเจดีย์ทรงเก๋งจีนแปดเหลี่ยม สูง 7 ชั้นเป็นตัวแทนชาติภพทั้ง 7 ของพระพุทธเจ้า
เวลาเปิด-ปิด 08.00-18.00
ไม่เก็บค่าเข้าชม
การสร้างวัดแห่งนี้ เกิดจากเรื่องเล่าของชาวบ้านแถบนี้ มีคนเห็นเทพธิดาสวมชุดสีแดงนั่งอยู่บริเวณวัด และบอกกับชาวบ้านว่าจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาสร้างเจดีย์ที่นี่และนำสันติสุขมาสู่เมือง จนเมื่อกษัตริย์ Nguyen Hoang ได้ผ่านมาและทราบเรื่องเข้าจึงสร้างเจดีย์ขึ้น และให้ชื่อว่า Chua Thien Mu มีความหมายว่า เจดีย์นางฟ้านั่นเอง
ด้านข้างเจดีย์มีระฆังสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ หนัก 2ตัน เมื่อตีระฆังเสียงจะดังไกลถึง 16 กม. ด้วยเหตุนี้ทำให้ทางวัดไม่อนุญาติให้ตีระฆังแล้ว เพราะทนเสียงไม่ไหว 😆
เดินได้สักพักก็หลบแดดมาหาของกินแทน 😆 หน้าวัดมีร้านขายเต่าหู (Tau Hu) คล้ายเต้าฮวยน้ำขิง แต่กินแบบเย็น เนื้อเต้าฮวยเด้งคล้ายพุดดิ้ง แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมใส่ขิงนิดหน่อย กินตอนอากาศร้อนๆ แล้วสดชื่นมาก หวานๆ เย็นๆ ราคาถ้วยละ 20,000 VND
จบโปรแกรมที่วัดก็ถึงเวลาต้องบอกลาเมืองเว้แล้ว เรานั่งรถลอดผ่านอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในอาเซียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังบานาฮิลล์
บานาฮิลล์เคยที่พักตากอากาศของขุนนางฝรั่งเศสในสมัยอาณานิคม เดิมชื่อว่าบานาน่าฮิลล์เพราะบนภูเขามีต้นกล้วยเยอะแต่ชาวบ้านออกเสียงเพี้ยนจนกลายเป็นบานาฮิลล์ เมื่อสิ้นสุดการปกครองของฝรั่งเศสที่นี่ก็ถูกทิ้งให้ร้างมานาน จนปี 2009 บริษัทอสังหาริมทรัพย์Sunworldได้เข้ามาปรับปรุงพื้นที่และสร้างโรงแรม แต่ช่วงแรกก็ยังไม่เป็นที่นิยมเพราะการขับรถขึ้นเขาค่อนข้างลำบาก กระทั่งมีการจ้างบริษัทผลิตกระเช้าจากออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์ทำให้การขึ้นบนบานาฮิลล์ง่ายขึ้น เมื่อเดินทางง่ายขึ้นทำให้บานาฮิลล์กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมจนถึงปัจจุบัน
เส้นทางกระเช้าบนบานาฮิลล์ตอนนี้ทั้งหมดมี 5 สาย เดี่ยวแปะแผนที่และเส้นทางแต่ละสายให้ในรูปถัดไปนะ
สำหรับแขกที่พักโรงแรมจะได้นั่งกระเช้าสายยาวที่สุดขึ้นไปถึงหมู่บ้านฝรั่งเศสเลย เป็นกระเช้าสายเดี่ยวแบบไม่มีสถานีพักที่มีระยะทางถึง 5,801 เมตร (เคยเป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลก แต่ตอนนี้โดนล้มแชมป์ไปแล้ว)
เส้นทางกระเช้ามี 5 สาย แต่จะไม่ได้เปิดบริการพร้อมกัน ลองดูคู่กับแผนที่แล้วจะพอนึกภาพได้ง่ายขึ้นครับ
1. Suoi Mo station -> L' indochine station
เส้นทางสำหรับแขกที่พักโรงแรม กระเช้าจะขึ้นไปถึง French village โดยไม่แวะพัก
2. Toc Tien station -> Bana station
เส้นทางเก่าที่ใช้ขึ้นไปด้านบน กระเช้าจะจอดที่จุดพักกึ่งกลาง ต้องนั่ง Tram ไปสวนดอกไม้แล้วเดินไปที่สะพานมือยักษ์ ก่อนจะนั่งกระเช้าขึ้นไปที่ French village
3. Morin station -> Debay station
เส้นทางเชื่อมต่อ French village กับจุดพักกึ่งกลาง ถ้าไปจะสะพานมือยักษ์ต้องต่อ Tram
4. Hoi An station -> Marselle station
เส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้พักโรงแรม ปลายทางจะถึงที่สะพานมือยักษ์
5. Bordeaux station -> Louvre station
เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสะพานมือยักษ์กับ French Village
6. D' Amour station -> Le Jardin station
เส้นทางนี้เป็น Tram ที่วิ่งไต่เขา เชื่อมต่อระหว่างจุดพักกึ่งกลางและสวนดอกไม้ Le Jardin
ระหว่างที่นั่งบนกระเช้า ก็ชมวิวเมืองดานังที่อยู่ทางด้านหลัง ด้านหน้าก็มีวิวป่าและน้ำตกให้ดู นั่งเพลินๆไป 15-20 นาที ก็ถึงหมู่บ้านฝรั่งเศส ยกเว้นถ้าฝนตกหรือมีลมแรงกระเช้าจะเคลื่อนที่ช้าลง
ออกจากสถานีกระเช้า L' Indochine จะเจอลานกว้างด้านหน้าหมู่บ้านฝรั่งเศส อีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ 😆
ด้านหน้า French Village มีโบสถ์ Saint Denis ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ Notre Dame ในฝรั่งเศส เสียดายที่โบสถ์ปิดเลยไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปข้างใน 😢
ใครที่มาถึงเร็วแนะนำให้ไปเล่นเครื่องเล่นใน Fantasy park ก่อน รอสักบ่าย 3 ค่อยออกมาเดินเล่น เพราะนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ค้างจะทยอยกลับและแสงสวยเหมาะกับการถ่ายรูป
French village จำลองแบบจากหมู่บ้านในฝรั่งเศส บวกกับอากาศด้านบนที่เย็นสบาย ทำให้ได้ฟีลลิ่งเหมือนไปเที่ยวยุโรปจริงๆ
มีโซนน้ำพุที่พึ่งสร้างเสร็จอยู่ด้านหลัง Beer Plaza ก็เป็นอีกจุดที่ถ่ายรูปสวย โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือเย็นที่แสงพระอาทิตย์เป็นสีทอง
ด้านหลังหมู่บ้านฝรั่งเศสจะมีวัดจีน ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของบานาฮิลล์ พรุ่งนี้เช้าเราจะมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่
หลังจากเดินถ่ายรูปจนเย็น ก็ถึงเวลาลงมาถ่ายรูปกับสะพานมือยักษ์แล้ว วิธีการลงไปยังสะพานมือแบบต่อเดียวถึง ให้ลงกระเช้าที่สถานี LOUVRE อยู่ด้านข้าง Fantasy Park
เส้นทางกระเช้าสายนี้ไม่ยาว นั่งแปปเดียวก็ถึงสะพานมือยักษ์แล้ว
สะพานมือยักษ์ (Golden Bridge) แลนด์มาร์คสำคัญของบานาฮิลล์ที่ฮอตตั้งแต่เปิดตัว เป็นสะพานที่มีความยาว 150 เมตร แรงบันดาลในการออกแบบคือ "เส้นด้ายสีทองในหัตถ์ของพระเจ้า"
เราชอบบรรยากาศตอนเย็นมากกว่า อาจจะมีคนบ้างแต่อากาศเย็นสบายและสีท้องฟ้าก็สวย หลังจากถ่าย รูปกันจนเต็มอิ่มก็นั่งกระเช้ากลับมาพักเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เราจะตื่นเช้ามากเพื่อไปดูพระอาทิตยขึ้นกัน
เราตื่นตั้งแต่ 04.30 เพื่อมาให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นตอน 05.24 จุดแนะนำคือชั้นบนสุดของหอระฆังที่อยู่ในวัดจีน (หันหน้าหาโบสถ์แล้วเดินตามถนนด้านซ้าย) แนะนำให้เผื่อเวลาสักนิดจะได้มีเวลาเตรียมตัว เพราะบันไดทางขึ้นหอระฆังทำเอาเหนื่อยพอสมควร
05.24 พระอาทิตยก็มาตามนัด ตรงเวลามากๆ นอกจากจะได้เห็นวิวมุมสูงของบานาฮิลล์แล้ว ยังมองเห็นวิวของเมืองดานังได้อีกด้วย
วิวนี้คือดีมากๆ อากาศก็เย็นสบาย คุ้มค่าการกับการตื่นตั้งแต่ 04.30 หลังจากนี้คือ Golden period ในการเดินถ่ายรูปเล่นใน French village เพราะแสงเช้าจะสวยช่วง 06.00-07.00 แถมคนก็น้อย ถ่ายตรงไหนก็ปัง
กระเช้ารอบแรกจะเปิด 07.30 ใครที่อยากเก็บภาพสะพานมือในบรรยากาศโล่งๆ แนะนำให้ต่อคิวตั้งแต่ 07.15 เลย ถ้ามาถึงคนแรกก็จะได้ภาพสะพานแบบนี้เลยครับ
เดินจากสะพานมือยักษ์ ก็ถึงสวนดอกไม้ Le Jardin d' Amour สวนสไตล์ยุโรปที่ดอกไม้ในสวนจะมีการหมุนเวียนตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีโรงบ่มไวน์ Debay Wine Cellar
จากสวนดอกไม้เราจะเห็นสะพานมือยักษ์จากระยะไกล มุมนี้ก็สวยไปอีกแบบ
สถานที่ต่อมาคือ วัดหลินอึ๋ง (Linh Ung) ด้านในวัดมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาว หันหลังให้ภูเขา หันหน้าไปเมืองดานังเพื่อปกป้องคุ้มครองเมืองดานัง คนนิยมมาขอพรเรื่องงานให้ประสบความสำเร็จ
ที่เมืองดานังจะมีวัดชื่อหลินอึ๋งทั้งหมด 3 แห่งคือ บนบานาฮิลล์ เกาะเซรินเต่า และที่ภูเขาหินอ่อน
นกที่ตื่นเช้าคือนกที่ได้รูปแบบไม่ติดคนแต่นกจะร้อนมาก เพราะแดดแรงมาก 😂 ตรงสวนดอกไม้ คิดว่ามาหลัง 4 โมงเย็นน่าจะดีกว่า อาจจะมีคนบ้างแต่แสงละมุนกว่าและไม่ร้อน
อีกกิจกรรมที่อยากให้ลองคือ Alpine Coaster (รถรางเลื่อน) ถ้าไม่อยากร้อนและรอคิวนานให้เล่นแต่เช้าเลยครับ แต่ถ้าวันไหนฝนตกหรือมีพายุก็จะไม่เปิดให้บริการนะครับ
ถึงเวลาเก็บกระเป๋านั่งกระเช้าลงไปด้านล่างแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป มีมุมให้เลือกเก็บภาพมากมาย แถมตอนนี้กำลังสร้างโซนใหม่เพิ่มเติมอีก ดูแล้วน่าจะได้กลับมาอีกรอบแน่ๆ 😂
ลงจากเขามาปุ๊บ ไกด์ก็พามากินหม้อไฟทะเล อาหารทะเลที่นี่สดมากๆ โดยเฉพาะหอยตลับ บอกเลยว่าถ้ามาเวียดนามแล้วต้องลอง สำหรับการกินหม้อไฟ (Lau = หลาว) คนเวียดนามนิยมกินคู่กับเส้นขนมจีน (Bun = บุ๋น) รสชาติน้ำซุปมีความคล้ายแกงส้ม
ปิดท้ายด้วยไอศครีมรถเข็น ขูดทุกรสรวมกันไปเลย สีเหลืองที่เห็นคือทุเรียนนะครับ
จุดหมายถัดมาคือเมืองฮอยอัน เป็นเมืองท่าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอาณาจักรจามปา มีแม่น้ำทูโบนไหลผ่านและเชื่อมต่อกับทะเล ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก
ปล. คนท้องถิ่นจะออกเสียงชื่อเมืองว่า โฮ่ยอัน
เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามา ทำให้ฮอยอันมีการผสมผสานวัฒนธรรมจากหลายเชื้อชาติทั้ง จีน ญี่ปุ่น ดัชต์และอินเดียเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของเวียดนาม
สะพานญี่ปุ่น (Japanese covered bridge) แลนด์มาร์คของฮอยอัน เราอาจจะคุ้นตากับรูปสะพานนี้จากธนบัตรมูลค่า 20,000 VND
สะพานแห่งนี้ถูกสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเพื่อใช้ข้ามคลองเล็กๆ ที่แบ่งฝั่งชุมชนชาวญี่ปุ่นและชุมชนชาวจีน อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงมิตรไมตรีที่มีต่อกัน ที่ปลายสะพานมีรูปปั้นสุนัขและลิงเป็นสัญลักษณ์ว่า สะพานนี้สร้างในปีวอกและเสร็จในปีจอ
เมืองเก่าฮอยอันยังมีสถานที่สำคัญอีกหลายจุดนอกจากสะพานญี่ปุ่นเช่น สมาคมฮกเกี้ยน สมาคมกวางตุ้ง, Tan Ky house ด้วยเวลาที่จำกัด เราเลยขอแบ่งเวลาที่เหลือไปซึมซับกับบรรยากาศในเมือง เดินหามุมถ่ายรูปสวยๆ หาร้านกาแฟนั่งชิวๆบ้าง
ร้านแรกที่เราแวะก็คือ MOT อีกร้านยอดฮิตใน Social
ตลอดทั้งวันจะมีนักท่องเที่ยวมาต่อคิวซื้อน้ำดอกบัวกันตลอดทั้งวัน รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ มีกลิ่นอบเชยนิดๆ กินแล้วสดชื่นดี
ราคา 12,000 VND
ตรงนี้เป็นมุมที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเดินเข้ามา เป็นประตูวัดเก่าที่ออกแบบโดยช่างฝีมือท้องถิ่น เหมาะกับการใส่ชุดอ่าวหญ่ายมาเดินถ่ายรูปมากๆ
ปักหมุดตรงจุดนี้ว่า Cổng chùa Bà Mụ
นอกจากจุดหลักๆที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปกันแล้ว เราไม่ควรมองข้ามตรอกซอกซอยเล็กๆ เพราะถ้ามองดีๆ ก็อาจจะกลายเป็นมุมที่ถ่ายรูปสวยเหมือนกัน
ส่วนใครที่ไม่อยากเดินหรือปั่นจักรยาน ก็มีรถซิกโลให้บริการนะครับ แต่ราคาก็แอบแรงอยู่ คิดเป็นเงินไทยประมาน 400 บาท/30 นาที แล้วต้องทิปคนขับอีก 30,000 VND
อีกสิ่งที่ควรทำในฮอยอันคือการนั่งจิบกาแฟ สำหรับคนที่อยากลองขอแนะนำ 2 เมนูนี้เพราะเราจะหาได้แค่ที่เวียดนามเท่านั้น
- กาแฟดริป โดยใช้อุปกรณ์ดริปเปอร์ที่เป็นเอกลักษณ์คือ Phin (ฟิน) ซึ่งจะมีการแช่กาแฟแล้วกรองก่อนนำมาเสริ์ฟ (49,000 VND)
- กาแฟไข่ (Ca Phe Tung) ใช้ไข่แดงผสมกับครีม ทำให้เป็นคัสตาร์ดแล้วราดบนกาแฟดำ มีความคล้ายคาปูชิโน่แต่จะเข้มข้นและครีมมี่กว่า (55,000 VND)
สำหรับคนที่ไม่อยากไปต่อคิวขึ้น Roof top ที่ร้านสุดฮิตอย่าง Faifo Coffee ให้ลองมานั่งที่ร้าน Tamy Coffee Hoi AN อีกร้านที่เราสามารถขึ้นไปนั่งชิวที่ดาดฟ้า มองวิวมุมสูงของเมืองฮอยอันได้เหมือนกัน
มุมอื่นๆ ในร้านก็สวยครับ มีการจัดมุมถ่ายรูปสวยๆไว้ ระเบียงที่ชั้น 2 ก็มองเห็นวิวสวยๆ เหมือนกันครับ
ชั้นดาดฟ้าของร้านจะมองเห็นวิวของเมืองเก่า ทำให้เห็นว่าอาคารในเขตเมืองเก่าจะเป็นอาคารเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกัน ทาด้วยสีเหลืองมัสตาร์ดเหมือนกัน หลังคามุงกระเบื้อง คาดว่าได้รับอิทธิพลจากฝั่งตะวันตก
แต่สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้ที่รัฐบาลพยายามอนุรักษ์ไว้ ถึงกับออกมาตราการให้อาคารที่จะสร้างใหม่ทุกหลังในเขตเมืองเก่า ต้องสร้างตามแบบตึกเก่าเท่านั้น
สำหรับคนที่ไม่กินกาแฟขอแนะนำเมนูอะโวคาโด้ปั่น นุ่มนวล ละมุนมากๆ เพราะเค้าใส่อะโวคาโดให้เยอะจริงๆ
เมนู: ซินโต๊ เบอ (Sinh To = น้ำปั่น / Bo = อะโวคาโด) ราคา 62,000 VND
ถ้ามาฮอนอัยแล้วไม่ได้ลองนั่งเรือตะกร้า (Basket boat) ถือว่ายังมาไม่ถึง
เรือตะกร้าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของเวียดนามในสมัยฝรั่งเศสปกครอง เพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีการต่อเรือประมง โดยใช้ไม้ไผ่มาสานแล้วทาทับด้วยน้ำมันจากต้นยาง ต่อมาเรือตะกร้าก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในเวียดนามกลาง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้ไปแล้ว
เห็นเรือเล็กๆแบบนี้แต่พายยากอยู่นะครับ ถ้าจ้วงน้ำไม่ถูกวิธี เรือก็จะหมุนเป็นวงกลมติ้วๆๆ เลยทีเดียว
โปรแกรมการนั่งเรือตะกร้าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เรือจะล่องผ่านป่าจากเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงกลางแม่น้ำ ระหว่างทางคนพายจะเอนเตอร์เทนไปตลอด
พอมาถึงตรงกลางแม่น้ำ จะมีแสดงโชว์พายเรือแบบผาดโผนด้วย ใครอยากลองนั่งก็ได้แต่ระวังโลกหมุนนะ
มีลานแสดงคอนเสริ์ต ซึ่งเพลงที่ร้องก็คือเพลงไทยหมดเลย ❤นอกจากค่าโดยสารแล้ว ตามธรรมเนียมการท่องเที่ยวที่นี่ เราต้องทิปคนพาย ลำละ 30,000 VND
จบโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ เรากลับมาพักที่โรงแรมในดานัง ใช้เวลาเดินทางจากฮอยอันประมาณ 90 นาที
เช้าวันสุดท้าย เรามีเวลาในดานังเพียงแค่ 3 ชั่วโมง ก่อนบินกลับไทยตอนบ่าย เลยออกมาจิบกาแฟที่ร้านโลคอล นั่งเก้าอี้เตี้ยๆ จิบกาแฟเพลินๆ
หลังเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็นั่งรถเลียบหาด My Khe ไปเรื่อยๆ ชายหาดที่นี่สวยมาก ทรายสีขาวน้ำทะเลใส เสียดายที่ไม่ได้แวะเพราะจุดหมายของเราคือวัดหลินอึ๋ง
วัดหลินอึ๋ง (Linh Ung) ตั้งอยู่บนเกาะเซินตร่าทางตอนเหนือของดานัง สร้างขึ้นจากการระดมทุนของชาวบ้าน เนื่องจากมีความศรัทธาต่อเจ้าแม่กวนอิมที่คอยช่วยปัดเป่าภัยธรรมชาติทางทะเล
ภายในวัดมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ยืนหันหลังให้ภูเขา หันหน้าออกไปยังทะเลเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวประมงที่ออกทะเล ไกด์เล่าว่าชาวเวียดนามนิยมมาขอพรเรื่องงาน ขอบุตร แต่ไม่แนะนำให้ขอเรื่องความรักที่นี่นะครับ ถ้าสำเร็จแล้วจะมาแก้บนหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ความสะดวกครับ
มาถึงแลนด์มาร์คของดานัง สะพานมังกร (Dragon Bridge) เป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำฮาน (Han river) ช่วยให้การเดินทางจากสนามบินไปถนนสายหลักในเมืองง่ายขึ้น จุดเด่นของสะพานนี้คือมังกรทองขนาดใหญ่ที่อยู่กลางสะพานตลอดความยาว 666 เมตร
ถ้าได้มาช่วงกลางคืนก็ยิ่งสวย เพราะสะพานจะเปิดไฟสีต่างๆทำให้สวยขึ้นอีกเยอะ โดยเฉพาะคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เวลา 21.00 จะมีการมีการแสดงพ่นไฟและพ่นน้ำจากหัวมังกรด้วย
ใกล้กับสะพานมังกร มีรูปปั้นมังกรพ่นน้ำหรือคาร์ฟดราก้อน (Ca Chep Hoa Rong) คาดว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากสิงโตพ่นน้ำ (Merlion) ของสิงคโปร์ ด้านหลังมังกรพ่นน้ำคือ Danang Love Bridge สะพานที่ให้คู่รักทั้งหลายซื้อกุญแจมาคล้องกัน
โปรแกรมสุดท้ายของทัวร์คือการซื้อของฝากที่ตลาดฮาน แต่ด้วยเลือด Cafe Hopper ที่มันพลุ่งพล่าน เลยขอมานั่งคาเฟ่แทน
Cong caphe เป็นร้านกาแฟชื่อดังในเวียดนาม มีสาขาแทบทุกเมือง การตกแต่งในร้านจะคุมโทนเป็นธีมทหาร ขอบอกว่าร้านนี้ฮิตมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวเกาหลี
เมนูแนะนำคือ กาแฟมะพร้าว (Coconut Coffee)
ราคา แก้วเล็ก 49,000 VND แก้วใหญ่ 59,000 VND
ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เป็นอีกทริปที่สนุกสนาน ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกไม่สุด 😂 เหมือนยังมีอะไรหลายอย่างที่อยากทำแต่ด้วยข้อจำกัดของการมากับทัวร์คงทำอะไรตามใจตัวเองมากไม่ได้
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะครับ ทริปหน้าเราจะไปเวียดนามเหนือกัน กดลิ้งค์ด้านล่างได้เลยครับ
SAPA >> https://th.readme.me/p/42509
HANOI >> https://th.readme.me/p/42729
CALL ME KG
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 20.38 น.