รองเท้าพาไป ณ สวนสันติภาพ สวนใกล้บ้านกับการออกวิ่งครั้งใหม่

สำหรับผู้คนย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว สวนใกล้บ้านที่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการวิ่ง เดิน หรือออกกำลังกายกลางแจ้งได้ดีที่สุด หนีไม่พ้น สวนสันติภาพ หนึ่งในสวนสาธารณะเมืองกรุง ซึ่งด้านหน้าอยู่ติดกับถนนราชวิถีอันพลุกพล่าน และด้านหลังอยู่ติดกับถนนรางน้ำ ส่วนด้านข้างเป็นซอยเล็กๆ ชื่อ ซอยราชวิถี 3 เมื่อมองอย่างผาดเผิน ดูจะเป็นสวนที่มีขนาดเล็กจิ๋วมาก แต่หากได้เข้าไปสัมผัสจริงแล้ว กลับไม่เล็กจิ๋วเสียทีเดียว ยกเว้นถ้าเทียบกับสวนใหญ่ๆ อย่างสวนเบญจกิติ สวนลุมพินี หรือสวนรถไฟ ก็อาจจะเล็กจิ๋วจริง แต่ก็ต้องยกให้ เป็นจิ๋วแต่แจ๋ว เพราะขนาดพื้นที่ 20 กว่าไร่ของสวนนี้ บรรจุหลายสิ่งอย่างเพื่อให้สามารถรองรับกับประชากรเมืองอันหนาแน่นได้

จุดเริ่มต้นของการมาเยือนสวนสันติภาพ เริ่มจากบ้านอยู่ใกล้และนึกอยากใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่าเพื่อออกวิ่งใหม่ หลังละเลยมานานเกือบสองปีในช่วงโควิดระบาด แต่เหตุผลมากกว่านั้น คือเพื่อเยียวยาภาวะซึมเศร้าจากเหตุการณ์ร้ายๆ ดังนั้นรองเท้าผ้าใบคู่เก่าจึงกลับมาทำหน้าที่พาเจ้าของออกวิ่งอีกครั้ง ในเช้าวันที่อากาศสดใสและเป็นใจเหลือเกิน

การออกวิ่งครั้งนี้ต่างจากครั้งเก่า เนื่องจากไม่ได้เน้นที่การทำเวลาหรือระยะทาง ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ แต่เป็นการวิ่งสลับเดินแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลาอย่างอ้อยอิ่งกับสวน วิ่งเหนื่อยเมื่อไหร่ก็นั่งพักอ่านหนังสือที่ติดมาบนผืนหญ้าสีเขียวสด หรือไม่ก็แวะถ่ายภาพมุมนั้นมุมนี้ พร้อมพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบสวนไปพลางๆ จนรู้จักสวนมากขึ้นทีละนิดๆ

สวนสันติภาพ เป็นสวนที่ชื่อบ่งชัดอยู่แล้วว่า เน้นสื่อถึงคุณค่าของสันติภาพ โดยมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2541 เพื่อเป็นการรำลึกถึงวันสิ้นสุดแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ดังนั้น สวนแห่งนี้จึงมีประติมากรรมนกพิราบคาบช่อมะกอก ที่จำลองมาจากภาพวาดผลงานของปิกัสโซ่ เป็นสัญลักษณ์โดดเด่น แทนความหมาย สันติภาพโลก ตามความเชื่อของทางตะวันตก เพราะสมัยก่อนเวลาชาวคริสต์มีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกัน สังฆราชจะออกนั่งบัลลังก์ที่มีนกพิราบเกาะอยู่ เพื่อทำการไกล่เกลี่ยหรือยุติคดีความ

ส่วนป้ายชื่อสวนก็ออกแบบอย่างสวยงาม โดยตัวอักษรถอดมาจากลายมือท่านพุทธทาส ด้วยตลอดชีวิตอันยาวนานของท่านให้ความสำคัญกับการตระหนักถึงการสร้างสันติภาพอย่างยิ่งยวด นอกจากนั้นก็ยังมีแผ่นจารึกคำคมเกี่ยวกับสันติภาพ เขียนโดย กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา ประดับไว้เตือนใจอีกด้วย เนื้อความว่า

'การเปล่งเสียงเพื่อสันติภาพนั้น ไม่ว่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

และไม่ว่าจะเปล่งขึ้นมาจากที่ใด ย่อมได้รับคำขานรับ จากประชาชนทั่วโลกเสมอ'

ซึ่งเพิ่งทราบในคราวออกวิ่งนี้ว่า บ้านของท่านศรีบูรพา ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวนสันติภาพนี่เอง นับเป็นสิ่งละอันพันละน้อยที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับพื้นที่ชุมชนอย่างหนึ่งจริงๆ

สำหรับบรรยากาศภายในสวน เมื่อได้วิ่งๆ เดินๆ ก็ยิ่งได้ซึมซับกับความสดชื่นรื่นรมย์ อันประกอบไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณ ยังไม่ค่อยรู้จักชื่อ แต่หลายต้นก็มีป้ายเล็กๆ บอกไว้ ว่าต้นอะไรหรือดอกอะไร เช่น ต้นชะแนบทอง ม่วงส่าหรี กวักมรกต สังกรณีใบมัน ปูเล่ ฯลฯ มีลานอเนกประสงค์ให้นั่งพักผ่อน มีสวนน้ำเล็กๆ ให้หย่อนใจ มีสนามเด็กเล่นและเครื่องเล่นออกกำลังกาย แล้วหากออกวิ่งช่วงเย็นๆ ก็จะมีการนำเต้นแอโรบิกหรือกายบริหาร ให้ยืดเส้นยืดสาย มีเรือนเพาะชำ ซุ้มไม้เลื้อย และก็มีศูนย์แสดงพันธุ์ไม้ในร่มให้เข้าไปเดินชมได้ตามอัธยาศัย โดยบรรยากาศทั้งหมดนี้ สามารถเข้ามาดื่มด่ำ หรือสัมผัสขณะออกวิ่งได้ ตั้งแต่เวลาตีห้าถึงสามทุ่มทีเดียว ดังนั้นใครสะดวกเช้าก็มาเช้าก่อนออกไปทำงาน หรือใครสะดวกเย็นก็มาเย็นหลังเลิกงานแล้วก็ได้

จากการออกวิ่งครั้งใหม่ไปกับรองเท้าผ้าใบคู่เก่านี้ ไม่เพียงได้เยียวยาอาการซึมเศร้า และช่วยกระตุ้นการออกกำลังกายเท่านั้น แต่รองเท้ายังพาไปพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยสายตาที่ละเอียดขึ้น ว่ากันว่า ยิ่งมองภายนอกละเอียด ก็ยิ่งเห็นภายในชัดขึ้น สงบนิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้น ยังได้กลับมาอ่านหนังสือทั้งใหม่และเก่าที่กองดองไว้อีกด้วย ซึ่งในสวนนี้มีมุมให้ละเลียดอ่านหลายมุมด้วยกัน

ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้มุ่งหมายเป็นนักวิ่งหรือแข่งขันวิ่ง ไม่ต้องขับเคลื่อนด้วยการวิ่งตามเป้าหมายที่เน้นสถิติตัวเลขหรอก แค่วิ่งด้วยการผลักดันตนเองไปทีละก้าว ทีละก้าว รอบๆ สวนน้ำที่มีระยะทางประมาณ 700-800 เมตร สัก 5 รอบ หรือ 3,500 เมตรต่อครั้ง ก็เพียงพอให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย และจิตใจเบิกบานใช้ได้แล้ว หรือมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ก็ได้รับความสุขกายสบายใจกลับไปไม่น้อย

ที่นี่ สวนสันติภาพ จึงเป็นอีกสวนสาธารณะหนึ่ง ซึ่งเมื่อรองเท้าพาไปถึงแล้ว ก็รู้สึกอยากให้มีสวนอย่างนี้อีกหลายๆ สวนในกรุงเทพฯ เพราะเมืองที่มีสวนเยอะ ย่อมทำให้สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้นเยอะตามไปด้วย...นะเออ :)