บทความก่อนหน้านี้เราได้รีวิวทริปเที่ยว “ชิลล์ไปเรื่อย...เอื่อยเฉื่อยที่กาญนะจ๊ะบุรี” กันไปแล้ว วันนี้เราเลยจะมารีวิวทริปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีรอบที่ 2 ในปี พ.ศ. 2563 ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันว่าเราไปเที่ยว พัก และกินที่ไหน เผื่อว่าเพื่อน ๆ จะได้ตามรอยไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดยาว รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ^^

ก่อนเดินทางไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี เราก็แวะกินอาหารเที่ยงที่ร้าน ครัวจ่าพอง ร้านเดิมกับทริปที่แล้วนั่นเอง แถมยังสั่งเมนูเดิม ๆ อีกด้วยค่ะ 5555 ไม่ว่าจะเป็นเมนูสามชั้นทอดน้ำปลา, ต้มยำปลาคัง, ทอดมันปลากราย และกบทอดกระเทียม แต่เพิ่มเติมแตงโมหวานฉ่ำที่ทางร้านหั่นชิ้นแตงโมมาให้กินแบบฟรี ๆ อาหารก็อร่อย และบริการก็ดีมาก น่ารักสุด ๆ ใครชอบอาหารป่ารสชาติอร่อย เผ็ดจัดจ้านถึงใจในราคาสุดคุ้ม แนะนำให้มากินร้านนี้เลยค่ะ

จากนั้นแวะไปไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตกันต่อที่ “วัดไร่แตงทอง” บริเวณใกล้ ๆ กัน ซึ่งวัดไร่แตงทองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในย่านกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยไฮไลต์ของวัดแห่งนี้คือรูปปั้นหลวงปู่หลิวที่นั่งอยู่บนหลังพญาเต่าเรือนองค์ใหญ่ ผู้คนจำนวนมากจึงนิยมเข้ามากราบไหว้พระขอพรลอดใต้ท้องพญาเต่าเรือนด้วยความเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และมีอายุยืนยาว นอกจากนั้นยังมีวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงในเรื่องของพุทธคุณ, เมตตามหานิยม และด้านการค้าขายให้บูชาอีกด้วยค่ะ

หลังจากไหว้พระแล้วจึงเดินทางต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเช็กอินเข้าที่พัก “โรงแรมมาร์กาญ รีสอร์ท” โรงแรมเดิมอีกเช่นกัน เพราะประทับใจในเรื่องความสะอาดของห้องพักและการบริการ ที่สำคัญยังเดินทางสะดวกอีกด้วย เมื่อเช็กอินแล้วก็พักร่างซะหน่อย ก่อนจะไปกินอาหารเย็นที่ร้าน คีรีมันตรา ซึ่งร้านคีรีมันตราเป็นร้านอาหารที่ใครหลายคนมักแวะมากินอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเพราะด้านหลังร้านเป็นวิวธรรมชาติที่สวยงามชนิดไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็สวยปังไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นในห้องน้ำของร้านยังมีน้ำตกขนาดย่อมให้ได้ผ่อนคลาย โดยเฉพาะเวลาถ่ายท้องหนักค่ะ 5555

เมนูอาหารร้านคีรีมันตรามีให้เลือกกินหลากหลายเมนู ซึ่งเมนูอาหารที่เราสั่งนั้นล้วนเป็นเมนูเด็ดของร้านที่ห้ามพลาด ไม่ว่าจะเป็น “ยำถั่วพู” ถั่วพูปรุงรสด้วยพริกเผาและกะทิสด เพิ่มปลาหมึกกับกุ้ง และมีไข่ต้ม 2 ลูกแบ่งครึ่งตกแต่งอยู่ด้านข้าง, “ข้าวอบสับปะรด” ข้าวผัดสับปะรดที่เสิร์ฟในสับปะรดครึ่งลูกแบบผ่าซีก, “ซี่โครงหมูรมควัน” ซี่โครงหมูที่นำไปย่างหรือรมควัน และ “ฟรุตสลัดกุ้งแก้ว” ฟรุตสลัดผลไม้ใส่ในกระทงเผือกทอด เสิร์ฟพร้อมกุ้งชุบแป้งทอด ตกแต่งข้างจานด้วยผักสดสวยงาม น่าทาน รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยเลยทีเดียวค่ะ

พอกินอาหารเสร็จแล้วก่อนจะนั่งรถกลับที่พัก ข้างร้านอาหารยังมีร้านคาเฟ่ The Village Farm To Cafe' ตั้งอยู่ติดกัน ซึ่งเราเคยเขียนรีวิวร้านคาเฟ่แห่งนี้ในบทความ The Village Farm To Cafe' คาเฟ่สวย บรรยากาศดี เหมาะสำหรับการถ่ายรูปสุด ๆ หลังจากกินอาหารคาวเสร็จแล้ว ใครสนใจกินขนมหวานอร่อย ๆ สามารถเดินมากินของหวานได้นะคะ (เจ้าของร้านเป็นคนเดียวกันค่ะ)

เมื่อกลับมาถึงที่พักแล้ว รอบ ๆ บริเวณที่พักเปิดไฟสวยงามจนอดถ่ายรูปไม่ได้ จึงถ่ายรูปสักหน่อยก่อนเดินขึ้นที่พักเพื่ออาบน้ำนอนเก็บแรงเที่ยวในวันถัดไปค่ะ ^^

วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เรานั่งรถเพื่อเดินทางไปชม “น้ำตกไทรโยคใหญ่” ก่อนเป็นที่แรก แต่ระหว่างทางเราก็แวะเข้าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันบางจากที่ติดกับสถานที่เที่ยว “เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔” ซึ่งเป็นเมืองย้อนยุคที่จำลองวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชมข้างใน เพราะมาเช้าก่อนเวลาเปิดให้บริการจึงได้แต่ถ่ายรูปบริเวณประตูทางเข้าและสวนขนาดย่อมในปั๊มน้ำมันค่ะ

เดินทางมาถึง “น้ำตกไทรโยคใหญ่” แล้วก็เดินเข้าไปตามทางเรื่อย ๆ ซึ่งระหว่างทางเข้าไปชมน้ำตกจะเป็นเส้นทางเดินที่มีธรรมชาติร่มรื่นและสายน้ำเล็ก ๆ ไหลผ่าน รวมทั้งได้ยินเสียงน้ำตกอยู่ไกล ๆ เมื่อเดินมาจนสุดทางแล้วจะพบกับน้ำตกชั้นเดียวขนาดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผาที่สูงเกือบ 10 เมตรลงสู่แม่น้ำแควน้อย ด้วยความที่มาเที่ยวชมในช่วงฤดูฝน หลังจากฝนตกเพียงไม่กี่วัน ทำให้น้ำเป็นสีน้ำตาลที่คล้ายกับสีดิน คาดว่าน่าจะเป็นเพราะน้ำป่าไหลหลากลงมาชะล้างหน้าดินไปด้วยนั่นเอง เสียดายสุด ๆ ที่ไม่ได้เห็นวิวสวย ๆ น้ำใส ๆ ของแม่น้ำแควน้อยค่ะ

หากต้องการชมความสวยงามของน้ำตกไทรโยคใหญ่ เราขอแนะนำว่าให้มายืนชมบนจุดชมวิวสะพานแขวนไทรโยค หรือเดินข้ามสะพานมายังฝั่งตรงข้ามของน้ำตกจะดีกว่าค่ะ วิวสวยงามไม่แพ้กันเลย ส่วนบริเวณรอบ ๆ น้ำตกริมแม่น้ำแควน้อยเรียงรายไปด้วยเรือนแพต่าง ๆ ทั้งเรือนแพร้านอาหาร, เรือนแพที่พัก และแพลากไว้บริการนักท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นสวยงามสองข้างทางค่ะ

หลังจากชมน้ำตกไทรโยคใหญ่แล้วจะพลาดชม “น้ำตกไทรโยคน้อย” ได้ไงอ่ะเนอะ 5555 ไหน ๆ มาถึงน้ำตกไทรโยคแล้วก็ต้องเที่ยวให้ครบทั้งสองที่เลย ซึ่งน้ำตกไทรโยคน้อยเป็นน้ำตกชั้นเดียวขนาดไม่ใหญ่นัก สูงเพียง 15 เมตรเท่านั้น สายน้ำที่ไหลลงมาจะแผ่กระจายไปตามพื้นเขาลาดเอียงลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง โดยนักท่องเที่ยวสามารถเล่นน้ำในแอ่งน้ำท่ามกลางร่มไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกไว้บริเวณรอบน้ำตกอย่างร่มรื่น ยิ่งในช่วงฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำมากให้เล่นน้ำกันได้อย่างชุ่มฉ่ำสุด ๆ ไปเลยค่ะ

ด้วยช่วงที่เราไปเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ในตอนสาย ๆ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก เราจึงถ่ายรูปแบบไม่ติดคนเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น โชคดีหน่อยที่ไม่มีคนเล่นน้ำเพราะอยู่ในช่วงโควิด-19 ระบาด จากนั้นเราก็แวะไปซื้อกล้วยทอดที่ร้านค้าบริเวณด้านหน้าน้ำตก เพื่อนำกลับไปกินในห้องพักช่วงบ่าย ๆ ค่ะ

พอชมน้ำตกไทรโยคน้อยเสร็จแล้วจึงนั่งรถไปกินอาหารเที่ยงที่ร้าน เรณู ตรงข้ามกับน้ำตกไทรโยคน้อย ซึ่งร้านแห่งนี้อยู่ติดริมถนน มีขนาดกว้างใหญ่ ตกแต่งร้านอย่างเรียบง่ายและร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ เมื่อมาถึงร้านอาหารแล้ว คนค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะมีกรุ๊ปทัวร์มากินที่ร้าน จึงต้องยืนรอโต๊ะ-ที่นั่ง รอได้สักพักก็ได้นั่งโต๊ะและเริ่มสั่งอาหาร โดยเมนูอาหารที่เราสั่งมี 3 อย่างคือ ผัดผักพื้นบ้าน, หมูป่าผัดเผ็ด และต้มยำปลาคัง รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยดี ชอบสุดคือน้ำพริกกะปิสูตรเฉพาะของทางร้านที่เสิร์ฟให้กินฟรีแบบไม่อั้นค่ะ

หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้ว ตอนแรกกะว่าจะแวะไปเที่ยวชมถ้ำกระแซ แต่ด้วยความที่แดดร้อนเกิน ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เลยเดินทางกลับเข้าที่พัก พอกลับถึงที่พักแล้วก็นั่งพักเอาแรงสักพักก่อนจะออกมานั่งเล่นชิลล์ ๆ ที่คาเฟ่ “The Village Farm To Cafe'เมื่อเข้าไปในร้านแล้วต้องยืนรอสักพักถึงได้นั่งโต๊ะ เพราะคนค่อนข้างเยอะพอสมควร พอได้นั่งโต๊ะแล้วจึงสั่ง “น้ำเมลอน” ที่ทางร้านปลูกเองกับ “เต่าปังลุยสวน” เมนูขึ้นชื่อของร้านที่เป็นขนมปังไส้สังขยารสเมลอนรูปเต่า บอกเลยว่ามีหน้าตาน่ารักน่าทานมาก มุ้งมิ้งสุด ๆ ค่ะ 5555

พอกินขนมหวานเสร็จแล้ว เราก็เดินไปถ่ายรูปวิวสวย ๆ หลังร้านที่เชื่อมกับร้านอาหารคีรีมันตราสักพักใหญ่ ๆ ก่อนกลับเข้าที่พักอีกรอบ เพื่อรอให้ท้องย่อยก่อนถึงเวลาอาหารเย็น 5555 ซึ่งวิวด้านหลังสวยงามมาก เนื่องจากเป็นวิวธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาสีเขียวสวยกับทะเลสาบ แถมช่วงเย็นวันศุกร์-เสาร์ยังมีดนตรีในสวนอีกด้วยค่ะ

ตอนเย็นช่วง 6 โมงครึ่งถึงเวลาอาหารเย็นพอดี จึงออกจากที่พัก เพื่อนั่งรถเดินทางไปยังร้านอาหาร บ้านลุงชวน สวนป้าติ๋ว ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก นั่งรถเพียงไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงร้านอาหารแล้ว ซึ่งร้านดังกล่าวเป็นร้านอาหารไทยพื้นบ้านในสไตล์บ้านสวนที่ร่มรื่นไปด้วยสวนต้นไม้เขียวขจีและมีเสียงน้ำไหลคล้ายน้ำตก ทำให้อากาศเย็นสบายตลอดทั้งวัน อีกทั้งการตกแต่งร้านเป็นไปอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเองเหมือนมานั่งกินข้าวบ้านเพื่อนยังไงยังงั้นเลย ส่วนเมนูอาหารจะเน้นอาหารไทยภาคกลางกับภาคกลางเป็นหลัก โดยเมนูที่เราสั่งล้วนเป็นเมนูเด็ดขึ้นชื่อของร้านได้แก่ น้ำพริกสะเปะสะปะ, ยำใบมะกรูด, ฉู่ฉี่ปลาคัง และไข่เจียวลุงชวน ถูกใจอาหารทุกเมนูเลยจริง ๆ รสชาติอร่อยกลมกล่อมกำลังดีเลยค่ะ ชอบสุดก็ยำใบมะกรูดกับไข่เจียวลุงชวนนี่แหละ ^^

วันรุ่งขึ้นหลังจากทำธุระส่วนตัวแล้ว เราก็ออกมากินอาหารเช้าที่ร้านคาเฟ่ “The Village Farm To Cafe'ร้านเดิม ด้วยความที่มาถึงแต่เช้าก่อนร้านจะเปิดเลยได้ถ่ายรูปบรรยากาศภายในร้านทั้งหมดและวิวสวย ๆ หลังร้านแบบไม่ติดคน ดีงามมากจ้า! สักพักพอร้านเปิดก็เริ่มมีคนทยอยเข้ามากินอาหาร จากตอนแรกที่เรานั่งกินขนมปังปิ้งอยู่ด้านนอกก็ย้ายเข้าไปข้างใน เพราะอากาศร้อนแล้วก็สั่งอาหารเพิ่ม อย่างไข่ดาว, ซี่โครงหมูรมควัน และยำไส้กรอกค่ะ

กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เดินทางกลับเข้าที่พัก เพื่อเตรียมเก็บกระเป๋าก่อนเช็กเอาท์ออกจากที่พัก เมื่อเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วก็เดินทางไปกินอาหารเที่ยงที่ร้าน ครัวจ่าพอง” เจ้าประจำอีกแล้ว 5555 แต่คราวนี้เปลี่ยนมาสั่งเมนูอื่นบ้าง เพราะถ้าสั่งแต่เมนูเดิม เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน ซึ่งเมนูที่เราสั่งมีทั้ง ข้าวผัดหมู, ไก่รวนเค็ม, ไก่ผัดเม็ดมะม่วง และปลาคังลวกจิ้ม หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพค่ะ


รีวิวเที่ยวทริป “ทริปไปกาญจน์ไปกันฉันรักเธอ” จบลงไปแล้ว สำหรับใครที่ชื่นชอบการเที่ยวแนวธรรมชาติ มาเที่ยวที่เมืองกาญจน์เถอะ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะมีสถานที่เที่ยวให้ชมมากมาย ส่วนทริปเที่ยวเมืองกาญจน์ในทริปที่ 3 นั้นรออ่านในบทความรีวิวถัดไปจ้า อาจต้องทวนความทรงจำกันสักหน่อย วันนี้ต้องขอตัวลาไปพักก่อน สวัสดีค่า 🙏🙏🙏

ความคิดเห็น