...หากให้เอ่ยชื่อของสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่มีพื้นที่อยู่แถบชายแดนบ้านเรา เชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีมากมายหลากหลายชื่อแล้วแต่ว่าใครจะเคยไปที่ไหน หรือเคยอ่านหนังสือดูทีวีผ่านหูผ่านตาที่ไหนมาบ้าง .. อย่างชายแดนฝั่งตะวันตกของบ้านเราที่ติดกับประเทศพม่าก็คงหนีไม่พ้น อ.สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี .. หรือจะข้ามมาฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือจังหวัดที่อยู่ติดริมชายแดนฝั่งโขงเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศลาว นั้นยิ่งมีมากมายหลายแห่งที่ลัดเลาะไปตามลำน้ำโขงซึ่งเรารู้จักกันดี .. และสำหรับประเทศไทยเราแล้วจุดที่ทำหน้าที่ต้อนรับมหานทีลำน้ำโขงนั้นก็คือ อ.เชียงแสน และตามด้วย อ.เชียงของ จ.เชียงราย .. ซึ่งในอัลบั้มการเดินทางครั้งนี้ผมขอนำภาพจาก 2 อำเภอนี้ในจุดต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาฝากให้เพื่อน ๆ รับชมกัน .. ซึ่งแม้จะไม่ได้เน้นที่บรรยากาศริมโขงมากมายสักเท่าไหร่นัก แต่เส้นทางของ 2 อำเภอนี้นั้นก็ถือได้ว่าเป็นเส้นทางขับรถลัดเลาะไปตามริมโขงที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนเลยเช่นกัน...



...การเดินทางครั้งนี้ผมใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ. 2558 เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา โดยภารกิจนี้ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย, บริการรถเช่าจาก AVIS และสายการบินแอร์เอเชีย…



...อย่างที่เกริ่นไปเล็กน้อยว่าอาจไม่มีภาพริมน้ำโขงมากสักเท่าไหร่นัก แต่สถานที่หลายแห่งที่ได้ผ่านและเดินทางไปนั้น อาจช่วยเปิดมุมมองสถานที่ต่าง ๆ ให้ใครหลายคนได้เห็นอะไรที่เยอะขึ้นอย่างเช่น “วนอุทยานห้วยน้ำช้าง" “บรรยากาศพักผ่อนยามเย็นที่เชียงของ" “เมืองประวัติศาสตร์, ทุ่งดอกคาโมมายล์ และทะเลสาบ ที่อ.เชียงแสน" ซึ่งที่กล่าวมาเป็นไฮไลท์โดยหลัก ๆ ที่เราจะเดินทางไปกัน .. เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วเราออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ



…ป.ล. ภาพในอัลบั้มนี้ค่อนข้างเยอะ 100 กว่า ภาพ .. ใครมีเวลาเปิดกระทู้ทิ้งไว้ไปเดินเล่นสักพักแล้วค่อยกลับมาชมภาพต่ออีกทีก็ได้นะครับ... ส่วนลิ๊งค์นี้คือภาพผลงานการเดินทางอัลบั้มเก่า ๆ เผื่อใครสนใจครับ.. http://pantip.com/profile/172795



...เริ่มต้นการเดินทางที่สนามบินดอนเมืองซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำการเช็คอินด้วยตัวเองในระบบ Self-Check In กับสายการบินแอร์เอเชีย Air Asia .. ซึ่งสบายมากเพราะเราไม่มีสัมภาระโหลดลงเครื่อง ทั้งกระเป๋ากล้อง กระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ติดกับตัวตลอด ... ตอนแรกก็ยืนดูการเช็คอินจากคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ทันจะลองจัดการด้วยตัวเองก็มีพนักงานแอร์เอเชียมาจัดการให้เสร็จสรรพ.. สะดวกและรวดเร็วมาก .. สำหรับใครที่ไม่อยากรอคอยเสียเวลาในการเข้าคิวนี่เป็นหนทางใหม่หนทางหนึ่งที่เวิร์คสุด ๆ ในการเช็คอินเลยจริง ๆ ..



...จนถึงเวลา 8.10 น. ก็เป็นเวลาที่เครื่องเตรียมทะยานเหินฟ้าสู่ สนามบินแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ก็มาถึงสนามบินเชียงรายโดยสวัสดิภาพ... สภาพอากาศช่วงสาย ๆ เวลาประมาณ 9.30 วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส แดดก็เริ่มร้อนแรงเตรียมส่งท้ายปลายฤดูหนาวอย่างจริงจังเสียที...



...เมื่อกระเป๋าสัมภาระไม่ได้โหลดลงใต้เครื่อง ก็ไม่มีอะไรต้องรีรอ.. ทันทีที่ประตูเปิดก็รีบบึ่งมายังเค้าน์เตอร์ของผู้รถเช่าที่ให้บริการ AVIS THAILAND ซึ่งพาหนะในการขับเคลื่อนครั้งนี้เราเลือก Toyota Altis ที่จะอยู่กับเราไปตลอด 3 วัน...



...เมื่อเซ็นเอกสารรับรถเรียบร้อยแล้ว.. คนพร้อมรถพร้อม.. หน้าที่ถ่ายภาพก็เป็นของผม ส่วนอีกหนึ่งก็ทำหน้าที่ขับรถไปตามระเบียบ... ระยะเวลาในการรับรถก็ไม่นานนักประมาณ 15 นาทีเบ็ดเสร็จเราก็พร้อมออกเดินทางกันที่เวลาประมาณ 10 โมงนิด ๆ



...จากสนามบินเราขับออกมามุ่งหน้ายังเส้นทาง อ.เวียงเชียงรุ้ง ก่อนจะขับไปตามเส้นทางเพื่อเข้าสู่ อ.เชียงของที่เส้นทางหมายเลข 1098 และเลี้ยวซ้ายที่เส้นหมายเลข 1174 (หากเลี้ยวขวาจะย้อนไป อ.พญาเม็งราย) ...



...โดยระหว่างทางก็ค่อย ๆ ขับไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ออกจากสนามบิน หาร้านข้าวแวะพักเติมพลัง .. รวมทั้งหยุดถ่ายภาพตามถนนหนทางที่ขับผ่านมา ถนนหนทางลาดยางอย่างดีขับสบาย ๆ ... เพลงจากมือถือที่คัดสรรมาแต่ละเพลงพร้อมเสียบสายแจ๊คขนาด 3.5 ที่ซื้อมาจากร้านคอมแถวสนามบินนำมาเสียบต่อเข้าช่อง AUX กับวิทยุรถ.. พร้อมเปิดคลอไปตลอดทางช่วยสร้างบรรยากาศการเดินทางได้ขึ้นเยอะ.. แม้วันนี้แดดจะแรงไปสักหน่อยแต่กับวันเดินทางที่ยิ่งต้องถ่ายภาพเก็บภาพด้วยแล้วอย่างไรเสียก็ถือว่าเหมาะสม...



...ขับตามเส้นทางมาเรื่อย ๆ จะมีป้ายบอก “วนอุทยานห้วยน้ำช้าง" อยู่ด้านซ้ายมือ .. สังเกตง่าย ๆ ได้อีกอย่างกับป้ายบอกชื่อหมู่บ้าน “บ.แฟน" ซึ่งหากเห็นป้ายนี้ก็แสดงว่าเราอยู่ถูกที่แล้ว...



...จากนั้นก็เลี้ยวรถเข้าไปยังด้านในซึ่งเป็นบริเวณส่วนของอ่างเก็บน้ำโดยจะมีส่วนของที่ทำการอยู่ด้านบน และแนวอ่างเก็บน้ำอยู่ด้านล่าง...



...อาจเพราะด้วยตรงกับวันธรรมดา และสภาพอากาศที่ร้อนแรงในช่วงเวลาบ่ายอย่างนี้ทำให้ไม่เห็นนักท่องเที่ยว หรือใครที่มาพักผ่อนแม้แต่คนเดียว...



... แนวสันเขื่อความยาวคะเนจากสายตาน่าจะประมาณ 200 – 400 เมตร ขนานไปกับอ่างเก็บน้ำเบื้องหน้าที่มีผืนป่า และท้องฟ้า ทิวเขาที่วางตัวอยู่เป็นฉากหลัง แม้แดดจะแรงเหลือเกินแต่ก็ทำให้เห็นอะไรต่าง ๆ ชัดเจน...



...ติดกันกับบริเวณริมสันเขื่อนมีศาลากระท่อมเล็ก ๆ เป็นเหมือนที่นั่งพักรับร่มหลบร้อน... ภาพของเรือที่จอดอยู่ริมตลิ่งกับผืนดินที่แห้งบอกได้เป็นอย่างดีถึงสภาพอากาศที่ร้อนแรง...



...แต่ความเงียบสงบ และด้วยเรือที่จอดเรียงรายอยู่เหล่านี้แหละคือเหตุผลที่ทำให้ผมนึกไปไกลถึงภาพยามเย็นอาทิตย์อัสดงที่น่าจะสวยงามหากมาให้ถูกช่วงเวลามากกว่านี้ .. เราจึงตัดสินใจออกจากที่นี่กันก่อนเพื่อไปเก็บภาพบริเวณริมโขงที่เชียงของต่อไป...



...ล้อรถที่จอดนิ่งไปราว ๆ 20 นาทีก่อนหน้านี้ ตอนนี้เริ่มหมุนอีกครั้งเพื่อพาเราสองคนไปยังตัวเมืองเชียงของ...เพื่อเตรียมเก็บภาพบรรยากาศต่อไป...



...ทันทีที่มาถึงเชียงของก็แวะหาอาหารอร่อย ๆ เติมพลังก่อนเลยเป็นอันดับแรก... โดยร้านที่ขึ้นชื่อตามคำแนะนำก็คือ ร้านข้าวซอย ป้าอ่อน ..ข้าวซอยสิบสองปันนา .. เส้นทางจะอยู่ในซอยเล็ก ๆ หน่อย ใครอยากลองมาทานถามจากคนที่นี่น่าจะรู้ครับ ...



...ลักษณะบ้านเรือนร้านค้าบางจุดก็จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันกับเมืองเชียงคาน จ.เลย แต่ถนนจะดูใหญ่กว่านิดนึง และมีเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น...



...แต่ก็พอให้ซึมซับได้ถึงบรรยากาศแบบเก่า ๆ สมัยในอดีต



...จากนั้นก็ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปโดยมาสูดอากาศบริสุทธิ์บริเวณริมโขงช่วงเวลาใกล้ ๆ ยามเย็นก็จะเริ่มมีนักท่องเที่ยว มีชาวบ้านที่อยู่อาศัยเริ่มมาพักผ่อน วิ่ง ออกกำลังกายทำกิจกรรมกันต่าง ๆ นานา



...นอกจากนี้บริเวณริมน้ำก็มีจัดเป็นสวนดอกไม้ขนาดเล็ก ๆ ย่อม ๆ น่ารัก ๆ ให้สำหรับใครที่ชอบสีสันสดใส ๆ ได้เก็บภาพกันไปเป็นที่ระลึก...



...นอกเหนือไปจากชาวบ้านที่ทำมาหากิน ขนถ่ายสินค้าข้าวของที่นำมาใช้นำมาขายกันบริเวณท่าเรือด้านล่างแล้ว .. ด้านบนก็มีลานกิจกรรมออกกำลังกายเล็ก ๆ อยู่ติดริมถนนให้ใคร ๆ ที่มาได้ยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อกัน



...ยิ่งอากาศร้อนเริ่มคลายตัวลงชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวก็ออกมาพักผ่อนกันมากขึ้น.. เป็นบรรยากาศสบาย ๆ ริมลำน้ำโขงที่เราอยู่เสพความสุขจนถึงแก่เวลาอันสมควร .. เพราะตามที่ตั้งใจว่าเราจะกลับไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำช้างอีกครั้ง... ไม่รอช้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะไม่ทอแสงเราจึงรีบขับรถไปที่เดิมอีกครั้ง...



...รอบนี้กลับมาอีกทียามเย็นเห็นได้ชัดว่ามีผู้คนเดินทางมาพักผ่อนที่นี่ด้วยเช่นกัน .. ทั้งมานั่งเล่นพักผ่อน หรือบางกลุ่มก็มาปั่นจักรยานกัน... บรรยากาศดีต้นไม้เขียวอากาศเย็น ๆ แบบนี้ความสุขหาได้ง่ายเหลือเกิน...



...แสงอาทิตย์ และความร้อนที่เบาบางลงไปมากจากเมื่อบ่ายบนพื้นที่เดียวกัน แต่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ต่างกันไป ... สายลมยามเย็นพัดโชยเอื่อยมาเป็นระยะ ๆ ให้พอพัดเหงื่อที่ชุ่มอยู่หายไปทีละน้อย...



...ต้นหญ้าที่อยู่ริมฝั่งเฝ้ามองดวงอาทิตย์ลาลับสั่นไหวไปมาตามจังหวะแรงลม มีหยุดบ้างเมื่อสายลมไม่แรงพอ... เช่นเดียวกับผมที่เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดเป็นพัก ๆ เพื่อหามุมเล็กมุมน้อยคอยเก็บภาพไปเรื่อย



...ศาลาเล็ก ๆ ริมฝั่งที่เป็นที่หลบร้อนของผมในตอนกลางวันถึงตอนนี้ทำหน้าที่เพียงรับแสงจากดวงตะวันที่ส่องเข้ามาจากแนวป่าฝั่งตรงข้าม...



...อากาศดีดีแบบนี้ไม่มีทางเลยที่จะสัมผัสได้หากอยู่ในเมืองกรุง .. ช่วงเวลานี้สำหรับชีวิตในกรุงก็คือเวลาเลิกงานเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านฝ่าฟันกับทะเลคนไม่ว่าจะบนถนน จะลอยฟ้า จะลงเรือ หรือจะใต้ดิน .. แต่วันนี้สิ่งที่ผมได้รับคือความเงียบสงบ และการได้ยืนนิ่ง ๆ ให้สายลมหอบพัดเอาความสุขความพอใจผ่านเข้ามาว่าเป็นอีกหนึ่งวันในชีวิตที่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศดีดีแบบนี้...



...จากแสงแดดร้อนแรงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแสงสีทองทีละช้า ๆ เรือที่ยังจอดอยู่ที่เดิมเพราะห่างจากการใช้งาน ทั้งที่จมน้ำ และที่น้ำยังไม่เข้าเรือกลายเป็นฉากหน้าที่ทำให้ภาพดูมีเรื่องราวเพิ่มเติมขึ้นมาจากทัศนียภาพเดิม ๆ ...



...แรงลมสร้างความผ่อนคลายให้กับเรา แรงลมสร้างระลอกสร้างลอนคลื่นเล็ก ๆ ให้กับผืนน้ำ .. ธรรมชาติที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์เสียงนกร้องที่ดังเป็นระยะ ๆ จากแนวป่าที่อยู่รอบ ๆ เหมือนเสียงเตือนให้เรารู้ว่าเวลาแห่งวันใกล้จะหมดลงไปทุกที...



...จากตามแพลนเดิมที่เราตั้งใจจะมาแค่ อ.เชียงของ และ อ.เชียงแสน .. แต่ระหว่างทางที่ขับรถมาเรื่อย ๆ เนื่องจากสถานที่แต่ละแห่งนั้นไม่ไกลมากนัก บวกกับพละกำลังของพลขับที่บอกว่าไหวเสมอ .. ทำให้คืนนี้เราต้องหันหัวกลับไปยังเส้นทาง อ.เวียงแก่น .. เพื่อหาที่พักเข้านอน สำหรับเช้าวันใหม่ที่เราตั้งใจจะขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ดอยผาตั้ง...



...ทิ้งท้ายภาพจบการเดินทางของวันแรกที่ภาพของเรือที่จอดนิ่งเรียงรายอยู่ริมฝั่ง มีดวงตะวัน ทิวเขา ผืนป่า และเงาสะท้อนอยู่ไกลที่ฉากหลัง .. ภาพของดวงตะวันที่ค่อย ๆ หายลับไปกับแนวภูผาเป็นภาพที่งดงามคุ้มค่ากับการได้มาเยือนที่แห่งนี้จริง ๆ “วนอุทยานห้วยน้ำช้าง"...



...การเดินทางวันแรกผ่านพ้นไป ... เช้าวันถัดมาหากเป็นที่เมืองกรุงเหมือนทุกวันแล้วบอกได้เลยว่าเวลานี้สำหรับผมคือเวลาที่ยังนอนหลับอยู่โดยไม่อยากจะพลิกตัวตื่นแม้แต่น้อย.. แต่กลับตรงข้ามกันสำหรับเช้าวันนี้ที่ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อออกเดินทางและพาตัวเองขึ้นมาอยู่บนสถานที่อันงดงามแห่งนี้ “ดอยผาตั้ง"...



...เมื่อพูดถึงเชียงรายยอดเขาสูงยอดนิยมอันดับ 1 คงหนีไม่พ้นภูชี้ฟ้า และใกล้ ๆ กันกับภูชี้ฟ้าประมาณ 20 กว่ากิโลเมตรก็คือดอยผาตั้ง .. ทัศนียภาพยามเช้าแม้ในวันนี้จะไม่มีทะเลหมอกที่มากมายเหมือนอย่างในช่วงกลางฤดูหนาวที่ผ่านมา แต่สำหรับช่วงปลายหนาวอย่างนี้ที่พอได้เห็นอยู่บ้างก็ถือว่าประทับใจไม่น้อย เพราะสายลมหนาวนั้นยังพัดมาให้รู้สึกได้อยู่ตลอด...



...ใช้เวลาอยู่ที่ดอยผาตั้งได้ไม่นานนักก็ส่งท้ายอำลาด้วยบรรยากาศยามเช้ากับโรตีกรอบ และกาแฟหอมกรุ่นที่ร้านค้าด้านล่างก่อนจะออกเดินทางกันอีกครั้ง



...บนเส้นทางแถวดอยผาตั้งนั้นเราได้ขับผ่านต้นงิ้วต้นใหญ่ที่มียอดแผ่กว้างมองเห็นได้อย่างโดดเด่น จนในที่สุดก็อดใจไม่ไหวต้องจอดรถเลือกริมทางที่ปลอดภัย จากนั้นก็มาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อหามุมของดอกงิ้วสีส้มระเรื่อ ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้ายามสาย ..



...และเจ้าดอกงิ้วนี่เองที่นับว่าเป็นเคล็ดลับความอร่อยของน้ำเงี้ยวสูตรเฉพาะที่เชียงรายเลยก็ว่าได้(เพราะที่อื่นมักไม่นิยมนำมาใส่กัน) แต่สำหรับชาวเชียงรายนั้นนิยมกันเพราะว่ากันว่าเมื่อใส่ดอกงิ้วลงในขนมจีนน้ำเงี้ยวแล้วจะยิ่งช่วยทวีความเข้มข้นกลมกล่อนให้มากขึ้น ซ้ำยังช่วงบำรุงร่างกายและบำรุงเลือดลมให้สูบฉีดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย



...ต่อจากดอกงิ้วสีส้มความงามของพันธุ์ไม้อีกหนึ่งที่เราได้พบในวันนี้ก็คือ “ดอกเสี้ยว" ดอกไม้สีขาวที่มีกลีบดอก 5 กลีบเสมือนปลาดาว เติมแต้มด้วยสีชมพูสดใส .. ลำต้นของดอกเสี้ยวนั้นมีลักษณะสูงทำให้การจะถ่ายนั้นโอกาสที่จะถ่ายใกล้ ๆ นั้นค่อนข้างยาก... แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นเลนส์เทเลซูมให้สุดก็พอได้เห็นถึงความสวยงามแบบเข้าใกล้ขึ้นมาอีกนิดอยู่บ้าง...



...ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปอย่างไม่เสียดาย จนถึงเวลาที่ต้องออกจากตัว อ.เวียงแก่น มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางการเดินทางครั้งนี้เสียที่สู่เส้นทาง “อ.เชียงแสน"...



...เส้นทางออกจาก อ.เวียงแก่น ก็ย้อนกลับบผ่านทาง อ.เชียงของอีกครั้งเล็กน้อย แต่เราไม่ได้แวะที่ไหนอีกแล้ว มุ่งหน้าตรงไปยัง อ.เชียงแสนทันที ...



...จนเริ่มเข้าตัว อ.เชียงแสน สถานที่แรกที่เราแวะจอดพักรถก็คือ “วัดพระธาตุหัวกว๊าน" ..วัดที่มีที่ตั้งอยู่ริมลำน้ำโขง สาเหตุที่แวะก็คืออยากหาวัดที่ไหนสักแห่งเพื่อทำบุญสักเล็กน้อยก็เพียงพอ แต่กลับกลายว่าสิ่งที่ได้พบก็คือความสงบ และความสวยงามของตัววัดบนพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มากนัก...



...เมื่อเดินไปยังด้านหลังของวัดซึ่งอยู่ติดริมลำน้ำโขงก็จะพบเห็นอีกฝั่งเพื่อนบ้านที่มีต้นไม้สีสวยงามเต็มไปทั่วแนวฝั่ง .. มองจากมุมนี้ออกไปแล้วก็อดที่จะชื่นชมในความงามของผืนดินฝั่งเพื่อนบ้านไม่ได้



...จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อโดยไปยังแถวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เพื่อเตรียมตัวไปตามล่าหา “ทุ่งดอกคาโมมายล์" ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโงะ



...เมื่อขับมาเรื่อย ๆ จะเห็นป้ายอยู่ด้านซ้ายมือของถนนให้เราเลี้ยวขับเข้าไปตามทางได้เลย แต่เส้นทางจะเป็นตรอกซอยเล็ก ๆ สักระยะ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะหลงถามเส้นทางจากชาวบ้านอีกทีเพื่อการไม่เสียเวลาก็จะดีไม่น้อย .. อย่างกรณีของผมลองขับดูเองก็หลงไป 2 รอบเบา ๆ ...



...และในที่สุดก็หาจนเจอกับทุ่งดอกคาโมมายล์ แต่ที่เห็นในภาพนี้เป็นทุ่งของชาวบ้านที่อยู่นอกโครงการหลวง .. เนื่องจากเราขับไปที่โครงการหลวงแล้ว ดอกคาโมมายล์นั้นมีอยู่จริงแต่เหมือนจะไปอยู่ในแปลงเกษตรแปลงทดลองมากกว่า จะไม่ได้มีลักษณะเป็นทุ่งเหมือนอย่างที่ชาวบ้านปลูก...



...ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เลยแนะนำให้เราขับลงมายังตรงบริเวณถนนก่อนที่จะถึงโครงการหลวง ซึ่งก็ขับวนไปวนมาจนในที่สุดก็เจอ .. ทุ่งดอกคาโมมายล์นั้นหาไม่ยากครับ อยู่ติดริมถนนเลยก็มี ..



ป.ล. ส่วนภาพของดอกคาโมมายล์ที่ผมนำมาโพสนี้เป็นภาพจากทั้งช่วงเย็นของวันที่เดินทางมา รวมกับภาพในช่วงเช้าที่ถ่ายทุ่งดอกคาโมมายล์รวมเข้าด้วยกันเลยนะครับ



...แต่ที่จะเป็นทุ่งใหญ่หน่อยก็จะมีอยู่ไม่กี่จุด .. แต่อย่างที่บอกว่าถึงแม้จะเป็นทุ่งใหญ่นั้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่ได้เป็นทุ่งใหญ่โตมโหฬารอะไรมากมายนะครับ.. แต่ดูจากภาพอาจจะดูกว้างเนื่องจากใช้เลนส์มุมกว้างในการถ่ายทำให้ดูกว้าง...



...ซึ่งพื้นที่นั้นจากที่เดาจากสายตาคะเนน่าจะประมาณร้าน 7-11 หนึ่งห้อง.. แต่จะมีกี่แปลงนี่แล้วแต่พื้นที่ที่ชาวบ้านเป็นเจ้าของกันไป



...แสงแดดยามเย็นที่ค่อย ๆ บรรจงส่องแสงมาเบา ๆ ลงผืนทุ่งดอกไม้คาโมมายล์ .. รัญจวนด้วยกลิ่นคลุ้งของเจ้าดอกเล็ก ๆ สีขาวเหลือง .. ในตอนแรกที่ได้กลิ่นก็รู้สึกฉุนไปบ้างพลางคิดในใจว่าที่เคยชิมรสชาติของชาคาโมมายล์ก็มีกลิ่นหอม แต่ทำไมพออยู่อย่างนี้กลับตรงข้าม...



...แต่พอผ่านพ้นได้สักพักก็เริ่มรู้สึกถึงความหอมของเจ้าดอกคาโมมายล์เข้าทีละนิด .. ยิ่งตอนที่ชาวบ้านเก็บเหล่าบรรดาดอกคาโมมายล์ลงใส่ถังจนได้จำนวนเยอะพอประมาณแล้วไปดมในถังที่บรรจุบอกได้คำเดียวว่าหอมสดชื่นมาก...



...เชื่อได้เลยว่าชื่อของดอกคาโมมายล์อาจเป็นที่คุ้นหูของใครต่อใครหลายคน เพราะดอกคาโมมายล์นั้นเรานิยมมาสกัดเป็น “ชาดอกคาโมมายล์ (Camomile Tea)" กลิ่นหอมสบาย ๆ ยิ่งสำหรับนักดื่มชาด้วยแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จักกับรสชาติที่พอดีพอดี กลิ่นที่หอมละมุนละไม ไม่เข้มข้นมาก สามารถดื่มได้บ่อย และยังมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย



...ประโยชน์ของดอกคาโมมายล์นั้นมีด้วยกันมากมายหลายอย่างชนิดที่ว่าไม่น่าเชื่อว่าดอกที่เป็นตุ้มเล็ก ๆ ขนาดแค่เท่าหัวนิ้วก้อยแต่สิ่งที่เราได้รับจากดอกคาโมมายล์นั้นมีต่าง ๆ นานาเช่น ชาดอกคาโมมายล์มีคุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้ร่างกาผ่อนคลาย ลดภาวะเครียดลงได้ หากดื่มก่อนนอนก็จะช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น



...นอกไปจากที่กล่าวมาชาดอกคาโมมายล์ยังช่วยลดอาการท้องเฟ้อ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน รักษาแผลในกระเพาะอาหาร เสริมสร้างระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น บำรุงผิวพรรณ และสำหรับสุภาพสตรียังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย



...แม้ทุ่งดอกคาโมมายล์ที่เชียงแสนนั้นจะไม่ได้เป็นทุ่งกว้างขนาดใหญ่เหมือนทุ่งทานตะวัน หรือทุ่งดอกไม้อื่น แต่ความสุขเมื่อเราได้อยู่บนพื้นที่เล็ก ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ หามุมสวย ๆ น่ารัก ๆ ของเจ้าดอกคาโมมายล์นี้ก็เป็นความสุขอีกอย่างที่หากได้ใช้เวลาเงียบ ๆ มีสมาธิจด ๆ จ้อง ๆ กับสิ่งตรงหน้าความสุขในการเดินทางอีกรูปแบบก็น่าจะค้นพบได้ไม่ยาก



ป.ล. ทุ่งดอกคาโมมายล์นั้นจะเริ่มปลูก และบานในช่วงราวต้นปีเดือน ม.ค. – ก.พ. .. และหลังจากนั้นประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายนก็จะเริ่มเปลี่ยนหน้าดินไปปลูกพืชผักอย่างอื่นแล้วแต่ว่าเป็นที่ดินของใคร.. ดังนั้นถ้าใครจะไปหลังจากที่ได้ชมกระทู้นี้แล้วก็ต้องรออีกทีคือปีหน้านะครับ... แต่เราเก็บไว้เป็นข้อมูลจดไว้ในใจได้ก่อนเลย



...ถึงเวลาต้องอำลาจากทุ่งดอกคาโมมายล์เสียที ภาพที่ได้เห็นกันไปเป็นภาพจากทั้งช่วงเย็น และช่วงเช้านำมาเรียงต่อกัน อย่างในภาพความเห็นนี้ก็เป็นบรรดาเหล่าสัตว์ เหล่าแมลงตัวน้อยทั้งผึ้ง ผีเสื้อ เต่าทอง ที่มาทักทายสูดดมเสพเอาความหอมจากเกสรของเหล่าเจ้าดอกไม้สีเหลืองขาวเล็ก ๆ อย่างมีความสุข



...การเดินทางวันที่ 3 อีกหนึ่งวันเริ่มขึ้นอีกครั้งที่ทุ่งดอกคาโมมายล์ และจะไปต่อกันที่บริเวณ “เมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน" และปิดท้ายด้วย “ทะเลสาบเชียงแสน"...



...เมืองประวัติศาสตร์เชียงแสนตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ต.เวียง ซึ่งเป็นอีกเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์รุ่งเรืองมาช้านาน ซึ่งจะว่าไปแล้วพื้นที่ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสนนั้นก็รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งพักผ่อนที่สำคัญทั้งอย่าง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน, ทะเลสาบเชียงแสน(หนองบงคาย) และสามเหลี่ยมทองคำ



...กลับมาที่บริเวณประตูเมืองเชียงแสนนั้นจะมีเหล่าวัดวาอารามมากมายหลายจุดทั้งภายในกำแพงเมืองเชียงแสน และภายนอกเมืองเชียงแสน .. แต่ทั้งหมดนี้ก็อยู่ในพื้นที่เดียวกัน .. ซึ่งวัดที่ผมเลือกเดินทางเก็บภาพจะเป็นอย่างละหนึ่งคือ ภายในกำแพงเมืองเชียงแสนที่ “วัดพระธาตุเจดีย์หลวง" และภายนอกเมืองเชียงแสนที่ “วัดป่าสัก"...



... “วัดพระธาตุเจดีย์หลวง" ตั้งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน .. สร้างโดยพระเจ้าแสนภู(ดังภาพแรก)พระราชนัดดาของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาไท.. วัดพระธาตุเจดีย์หลวงได้ชื่อมาจากพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดซึ่งสูงถึง 88 เมตร และมีฐานกว้าง 24 เมตร ..เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเชียงแสน มีลักษณะเป็นรูปทรงระฆัง ภายในวิหารด้านหน้าเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย..



...เมื่อเช้าวันที่เดินทางมากลางเดือนกุมภาพันธ์พื้นที่บริเวณบางส่วนของวัดก็ได้มีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ แต่ก็ยังคงมีทั้งชาวบ้านที่มากราบไหว้ ทำบุญ ทำสังฆทาน รวมไปถึงชาวต่างชาติที่เดินทางมาเยี่ยมชมความงดงามของพระเจดีย์หลวงแห่งนี้อยู่ไม่ขาดสาย



...บรรยากาศภายในนั้นร่มรื่นไปด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่ เราใช้เวลาอยู่ที่วัดพระธาตุเจดีย์หลวงราว 30 นาที .. ก่อนจะออกเดินทางไปยัง “วัดป่าสัก" ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันแต่อยู่ในเขตพื้นที่นอกกำแพงเมืองกันบ้าง



... “วัดป่าสัก" อยู่บนพื้นที่นอกเมืองเชียงแสนทางทิศตะวันตก ตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นในสมัยพญาแสนภู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจกาเมืองปาฏลีบุต ประเทศอินเดีย .. เมื่อสร้างเจดีย์เสร็จแล้วพระองค์จึงสั่งให้มีการปลูกต้นสัก 300 ต้นรอบอาราม .. นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ “วัดป่าสัก" .. ซึ่งมีลักษณะเจดีย์ 5 ยอด ตกแต่งอย่างงดงามด้วยลวดลายปูนปั้น....



...ซึ่งตัวเจดีย์ของวัดป่าสักนั้นเป็นเจดีย์ทรงมณฑป มียอดระฆัง 5 ยอด .. รูปแบบทางสถาปัตยกรรมส่วนฐานได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์กู่กุด จ.ลำพูน .. ส่วนบริเวณมณฑปไปจนถึงส่วนยอดได้รับอิทธิพลจากเจดีย์เชียงยัน จ.ลำพูน .. และในส่วนด้านศิลปกรรมนั้นได้รับอิทธิพลจากมากมายหลายแห่งทั้งพุกาม จีน ขอม สุโขทัย เป็นต้น



...บริเวณภายในวัดป่าสักนั้นร่มรื่นและอุดมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกขึ้นอยู่รายล้อมสร้างความสวยงามให้แก่พื้นที่วัด และเจดีย์เป็นอย่างมาก...



...ลักษณะพื้นที่ของวัดป่าสักจะแตกต่างกับวัดพระธาตุเจดีย์หลวงที่ผ่านไป เพราะจะเงียบกว่าไม่มีร้านค้าของชาวบ้านอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ .. เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่วัด และเจดีย์ที่เงียบสงบจริง ๆ ...



...และก็ถึงเวลาเดินทางกันต่อไปยังจุดหมายสุดท้ายที่เราจะไปดื่มด่ำบรรยากาศแบบเบา ๆ ธรรมชาติ ๆ กับ “ทะเลสาบเชียงแสน(หนองบงคาย)" ..



...จากบริเวณกำแพงเมืองวัดป่าสัก และวัดเจดีย์หลวงเรามุ่งหน้าออกมาสู่ถนนใหญ่อีกครั้งโดยใช้เส้นทางหมายเลข 1016 ขับตามถนนใหญ่ออกมาเรื่อย ๆ ยึดป้าย อ.แม่จันไว้ .. แต่เราไม่ต้องไปตลอดเส้นทางเพราะแค่ขับพ้นตัวกำแพงเมืองมาได้ไม่นาน จะมีซอยเล็ก ๆ อยู่ด้านซ้ายมือบอกทางเข้าสู่ “หนองบงคาย" หรือทะเลสาบเชียงแสน ให้สังเกตดีดีก็เลี้ยวตามป้ายเข้าได้เลย...



...ช่วงเวลาที่เรามาถึงบริเวณทะเลสาบเชียงแสนนั้นเป็นช่วงบ่ายพอดีซึ่งอุณหภูมิ และสภาพอากาศตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าร้อนมาก .. อาจไม่เหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราแลกมาได้มาก็คือภาพของทะเลสาบเชียงแสนในอีกบรรยากาศหนึ่ง.. ซึ่งไหน ๆ มาแล้วก็ต้องมีอะไรดีติดไม้ติดมือกลับไปกันบ้าง...



...เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย หรือ ทะเลสาบเชียงแสน ตั้งอยู่ที่ ต.โยนก อ.เชียงแสน เดิมทีนั้นเป็นหนองน้ำธรรมชาติ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเนินเขาที่อยู่ห้อมล้อม และต่อมาทางราชการได้มีการสร้างเขื่อนกั้นทางน้ำ จึงส่งผลทำให้พื้นที่บริเวณนี้เกิดเป็นทะเลสาบขนาดย่อม ๆ บนพื้นที่ประมาณ 2,711 ไร่



...เนื่องจากพื้นที่บริเวณที่เป็นตลิ่งริมฝั่งโล่ง ๆ อาจไม่มีอะไรเป็นเกาะกำบัง เมื่อเราขับรถตามถนนเลาะเข้ามาเรื่อย ๆ จะมีแนวต้นไม้อยู่ติดริมถนน และจึงสังเกตได้ว่าบริเวณเหล่านี้จะมีเหล่านกน้ำรวมตัวกันอยู่มาก .. คงเพราะมีสุมทุมพุ่มไม้ให้เหล่านกทั้งหลายได้มีที่กำบังผิดกับริมตลิ่งที่เปิดโล่ง ..



...พื้นที่บริเวณหนองบงคายนั้นเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2528 เพื่อแนวทางการดำเนินการอนุรักษ์ และคุ้มครองสัตว์ป่าในบริเวณนี้ให้สามารถดำรงอยู่สืบพันธุ์มีชีวิตที่ปลอดภัยต่อไป ...



...เราขับรถเลาะไปเรื่อยหาพื้นที่เล็ก ๆ ตามสุมทุ่มพุ่มไม้ที่พอจะมีช่องเล็ก ๆ ระหว่างใบระหว่างกิ่งก้านให้ได้พอแอบส่องกล้องเปลี่ยนเป็นเลนส์เพื่อเก็บภาพเหล่านกน้ำต่าง ๆ บนภูมิทัศน์ทะเลสาบที่ตอนนี้แดดแรงจัดส่องให้ผืนน้ำในหนองบงคายมีสีขาวระคนสีครามเรื่อ ๆ สวยงามยิ่งนัก...



...เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันนานพอสมควรเนื่องจากรอจังหวะนกบิน เผื่อได้แอคชั่นสวย ๆ ติดภาพกลับไปบ้าง .. ก่อนสุดท้ายจะทนไม่ไหวกับอุณหภูมิระหว่างวันในช่วงบ่ายอย่างนี้ ..



...ทิ้งท้ายช่วงภาพยามบ่ายที่ทะเลสาบเชียงแสนด้วยภาพนี้...ก่อนจะตัดสินใจเพื่อที่กลับมาอีกครั้งในยามเย็นซึ่งจากที่คาดการณ์ไว้น่าจะมีอะไรที่สวยงามที่เราจะได้มาซึ่งการรอคอยบ้าง....



...ก่อนที่เข็มนาฬิกาจะตั้งตรงเป็นเลข 1 .. เรากลับมาที่ทะเลสาบเชียงแสนอีกครั้งตอนประมาณ 17.30 แสงของวันนั้นเรียกได้ว่าเริ่มจะหมดไปทุกขณะแล้ว ... ความร้อนแรงจากทัศนียภาพ และสภาพแวดล้อมในยามบ่ายที่ผ่านมาเปลี่ยนเป็นภาพความนุ่มนวลด้วยแสงสีส้มอมชมพูอย่างช้า ๆ ...



...ทั้งชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวก็มาใช้เวลาพักผ่อนในช่วงเวลายามเย็นอย่างนี้กันมากขึ้น .. แน่นอนว่าอากาศดี สภาพแวดล้อมดี ใคร ๆ ก็อยากออกมาสัมผัสซึมซับความสุขที่ธรรมชาติมีมอบให้...



...ภาพของเรือหางยาวที่ชาวบ้านนำมาทอดแหจับปลาเป็นภาพที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตได้เป็นอย่างดี ...



...หากเรารู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างลงตัว และไม่เบียดเบียนไม่ว่าจะที่ใดก็ตามแล้ว .. ผมว่านั่นคือสิ่งที่สวยงาม และจะอุดมสมบูรณ์อยู่ได้นานที่สุด ... ทะเลสาบเชียงแสนในเย็นวันนี้เปรียบเสมือนการร่ำลาส่งท้ายการเดินทางตลอด 3 วันที่ผ่านมาจากเส้นทางทั้งหมดใน จ.เชียงราย .. เริ่มตั้งแต่สนามบินไปจนถึง อ.เชียงของ ย้อนไป อ.เวียงแก่น ก่อนจะตีกลับมาอำลาที่ อ.เชียงแสนในวันนี้...



...ท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปเรื่อย ธรรมชาติก็ยังคงผันเปลี่ยนตามไปตามเวลา ตามเข็มนาฬิกาที่แม้จะเดินวนอยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่เคยหยุดเช่นเดียวกับดวงตะวันในเย็นวันนี้ .. ภาพของดวงอาทิตย์ลูกกลมโตที่สะท้อนให้เห็นเงาของตัวเองบนผืนทะเลสาบค่อย ๆ ทิ้งตัวลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะหายไปกับแนวผืนป่าด้านหลังที่ไกลออกไป... เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางบินลัดฟ้ากลับสู่เมืองกรุงในวันรุ่งขึ้นต่อไป...



...จากมุมมองของผมกับการเดินทางครั้งนี้ผมว่าหากเพื่อน ๆ ที่สนใจจะเดินทางมา.. ช่วงเวลาที่เหมาะสมผมว่าควรจะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวไปจนถึงเดือนมกรา - กุมภาฯ เลยก็ยังได้ ..เนื่องจากความเย็นของสภาพอากาศทางตอนเหนือช่วงนั้นคงน่าเที่ยวกว่าหน้าร้อนอย่างนี้มาก .. บวกกับยังจะได้เจอเทศกาลดอกไม้หน้าหนาวต่าง ๆ ... ส่วนอัลบั้มนี้ผมขอเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ได้เห็นถึงภาพของสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจไม่เคยเห็น รวมทั้งเส้นทางคร่าว ๆ ให้เพื่อน ๆ พอได้วาดภาพวางแผนในใจกันไว้แล้วออกเดินทางไปกันนะครับ..



...ขอขอบคุณอีกครั้งกับ ททท.จังหวัดเชียงรายที่ให้การสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้ พร้อมทั้งสายการบินแอร์เอเชีย และรถเช่าจาก Avis Thailand และขอบคุณสุด ๆ กับเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับที่แวะมาชมอัลบั้มนี้กัน ...



...ส่วนอัลบั้มนี้ฝากไว้ให้กับเพื่อน ๆ ที่รักการเดินทางทุกคนมีความสุขกับการเดินทางกันมาก ๆ นะครับ.. ย่างเข้าหน้าร้อนแบบเต็มตัวแล้วหลังจากความหนาวผ่านพ้นกันไป .. แล้วเจอกันใหม่กับการเดินทางครั้งหน้ากับผมฟอร์ซ่านุนะครับ ... สวัสดีทุกคนครับ



…เรื่อง/ภาพ : Forzanu



...ขอฝากไว้อีกช่องทางเผื่อเพื่อน ๆ คนไหน หรือใครอยากติดตามผลงานภาพต่าง ๆ หรือสอบถามเชิญที่ด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ ^^

https://www.facebook.com/Forzanufoto



Forzanu

 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.06 น.

ความคิดเห็น