โนโบริเบทสึ (Noboribetsu) เมืองที่มีชื่อเสียงด้านบ่อน้ำพุร้อน ของเกาะฮอกไกโด บ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ บ่อจิโงคุดานิ (Jigokudani or Hell Valley) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ของอุทยานแห่งชาติชิโคสึ โทย่า (Shikotsu-Toya Nationnal Park) เราเดินทางจาก Toya มาที่ Noboribetsu ในตอนเที่ยงวัน ที่ด้านหน้าสถานีรถไฟ Noboribetsu จะเห็นยักษ์สีแดงถือกระบองแยกเขี้ยวรอต้อนรับอยู่ครับ
ทางด้านขวามือจะเป็นป้ายรถเมล์ มีตารางเวลารถที่ไป Noboribetsu Onsen อยู่ วันนี้คนเดินทางมาเที่ยวที่นี่กันมาก หิมะก็ตกเบาเบา นักท่องเที่ยวมายืนต่อแถวรอขึ้นรถบัสท่ามกลางอากาศหนาว 2 องศา บางคนมากัน 3-4 คนก็จะเรียก Taxi ไปเพราะเมื่อหารเฉลี่ยแล้วราคาไม่ต่างกันมากนัก เมื่อรถบัสมาถึง เราได้ขึ้นรถกันทุกคน แต่ก็มีหลายคนต้องรอรถเที่ยวถัดไป
ที่ป้ายรถบัส ผมถ่ายรูปแผนที่เส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวที่ Noboribetsu เก็บไว้ก่อน เพื่อจะได้ทราบทิศทาง และวางแผนเที่ยวได้ถูก
รถบัสที่เราขึ้นวิ่งผ่าน Noboribetsu Date Jidaimura (จุด C ในรูป) หมู่บ้านจำลองวิถีชีวิตของชาวเอโดะในสมัยโบราณ เราไม่ได้แวะที่นี่เพราะไม่อยากลากกระเป๋าเที่ยว ต้องการนำกระเป๋าไปฝากที่โรงแรมก่อนแล้วไปเที่ยวจุดอื่นแทน
รถบัสที่ไป Noboribetsu Onsen มีสองสาย สายสีน้ำเงินหรือสายสีส้ม สายสีน้ำเงินจะไม่ผ่าน Noboribetsu Date Jidaimura และสิ้นสุดที่ป้าย Noboribetsu Onsen (N11) ส่วนสายสีส้มที่เราขึ้นมาจะ ผ่าน Noboribetsu Date Jidaimura และไปสิ้นสุดที่สถานี Footbath Entr ance (N15)
เรานั่งรถมาลงที่ป้าย Daiichi Takimotoken (N13) ซึ่งเป็นป้ายที่อยู่หน้าโรงแรมเลยครับ โชคดีที่เรานั่งรถถูกคันไม่ต้องเดินลากกระเป๋าไกล วันนี้ตอนขึ้้นรถบัสผมลืมหยิบหมายเลขตั๋ว (number ticket) แต่เนื่องจากค่ารถที่ต้องจ่าย 340 เยนเป็นอัตราสูงสุดแต่ละเที่ยวจึงไม่มีปัญหา อย่าลืมหยิบหมายเลขตั๋วตรงประตูทางขึ้นนะครับ
หลังจากนำกระเป๋าไปฝากที่โรงแรม Takimoto inn แล้ว ดูแผนที่วางแผนไปฟาร์มหมีกันก่อนเดี๋ยวกระเช้าปิด แล้วค่อยไปบ่อนรก
ออกเดินไปขึ้นกระเช้าเพื่อเที่ยวฟาร์มหมีกันก่อน ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยเรื่อยครับ
เดินมาถึงศาลเจ้า Enmado ซึ่งในแต่ละวันจะมีการแสดง Karakuri show เป็นการแสดงเปลี่ยนสีหน้า ขยับแขน แยกเขี้ยว พร้อมเปิดเสียงประกอบ ซึ่งหน้าหนาวจะแสดงเวลา 10:00 , 13:00 , 17:00 และ 20:00 ส่วนหน้าร้อนจะมีการแสดงรอบ 21:00 น. เพิ่มอีก 1 รอบด้วย
เดินผ่านรูปปั้นหรือรูปแกะสลักหิน มีหยุดแวะถ่ายรูปกันเรื่อยเรื่อย
ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกมีตลอดสองข้างทางเลย ต้องบอกเพื่อนให้รีบเดินขึ้นกระเช้าไปกินอาหารด้านบนแทน กลัวกระช้าปิด หิมะตกลงมาตลอด ตอนเย็นค่อยมาเดินเที่ยวอีกก็ได้
เดินมาขึ้นทางแยกขึ้นไปนั่งกระเช้า ใครขับรถมาขับถึงไปจอดที่ทางเข้าได้เลย ส่วนเราก็เดินขึ้นบันไดไปอีกหน่อย ประมาณ 150 เมตรเอง แต่กว่าจะถึงก็เมื่อยขากันเลย
มีป้ายบอกบริเวณทางขึ้น เดือนกพ.ถึงมีค. เริ่มขายตั๋ว 08:30 น. ขึ้นกระเช้ารอบสุดท้ายเวลา 15:20 น. ปิดเวลา 16:00 น. มีป้ายบอกแบบนี้ดีมากเลยครับ ถ้ามาช่วงบ่ายจะได้ตัดสินใจถูกว่าจะขึ้นไปดูหรือไม่ ไม่ใช่เดินขึ้นไปถึงแล้วบอกว่าปิดให้ขึ้นกระเช้าแล้ว
บริเวณด้านหน้าสถานีจำหน่ายตั๋ว มีหมีออกมาต้อนรับด้วยครับ ตัวนี้ชื่อ Masamune เพศผู้ อายุ 12 ปี น้ำหนัก 380 กก. สูง 2.30 เมตร เป็นหมีที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์ม
เข้าไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าและเข้าชมหมีกัน ราคา 2,592 เยน แล้วขึ้นไปด้านบน ก่อนขึ้นกระเช้ามี locker ฝากกระเป๋าด้วยครับราคา 200 เยน
ถ่ายรูปกับผมกันก่อนไหมครับ ตัวแรกชื่อ Isa ตัวที่สอง Nyoyo ตัวที่สาม Cancun ตัวที่สี่ Noribi ตัวที่ห้า Sasae ตัวที่หก Clara ตัวที่เจ็ด Suzuri หรือจะเข้าไปถ่ายรูปในกระเช้าสีแดงก็ได้ครับ
กระเช้าสีแดงสดสามารถนั่งได้ข้างละ 3 คน วันนี้คนน้อยเราแยกกันนั่งได้เลยครับ ส่งเพื่อนเพื่อนขึ้นไปกันก่อน
มีกระเช้าตากปลาแซลมอนด้วย ทีแรกคิดว่าของปลอม ตอนขาลงสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นของจริงครับ
วันนี้โชคดีได้นั่งกระเช้า Lucky เป็นกระเช้าที่มีตุ๊กตาหมีอยู่ด้านใน ซึ่งมีอยู่เพียงตู้เดียวเท่านั้นครับ
นั่งกระเช้าทีแรกเข้าใจว่าขึ้นไปไม่ไกลมาก แต่นั่งไปตั้งนานไม่ถึงซักที ข้ามเขาแล้วข้ามอีก ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้กว่าจะถึง แต่ก็ดีมีโอกาสถ่ายรูปมาลงรีวิวได้หลายรูป
ลงกระเช้าเดินออกไปด้านนอก หิมะตก มองซ้ายมองขวา แล้วเดินไปดูป้ายหาอาหารกินข้าวกลางวันกันก่อน บ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย มีร้าน Bear Mountain Restaurant อยู่ทางขวามมือ Gogogo
ด้านขวามือ หมู่บ้าน Ainu Yukara จำลอง พิพิธภัณฑ์หมีสีน้ำตาล จุดชมวิวทะเลสาป Kuttara และร้านอาหาร
กรงหมีสีน้ำตาลตัวผู้ กรงหมีสีน้ำตาลตัวเมีย สนามแข่งเป็ด
เมนูร้านอาหารมีโมเดลเสมือนจริงให้ดูด้วย เห็นแล้วหิวเลย
ที่นี่มีตู้สั่งอาหารด้วย เราเลือกอาหารที่ต้องการกัน จ่ายเงิน พิมพ์ตั๋ว แล้วนำไปให้ที่ร้าน
ช่วงบ่ายสองร้านแทบไม่มีคนมานั่งเลย
อาหารที่สั่งมาแล้วครับ Soy Sauce Ramen 700 เยน
ออกจาร้านอาหารมาดูแผนผังอาคาร อาคารนี้มี 3 ชั้น ชั้น 1 เป็นร้านอาหาร ห้องแสดงความสามารถสุนัข (วันนี้มีติดประกาศงดการแสดง) และห้องน้ำ ชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์หมีสีน้ำตาลและ ชั้น 3 เป็นจุดชมวิวทะเลสาป Kuttara
ตามผมขึ้นไปชั้น 2 เลยครับ
จุดกำเนิดและวิว้ฒนาการ (Origin and Evolution)
ความสัมพันธ์ระหว่างชาว Ainu กับหมีสีน้ำตาล
มาพิพิธภัณฑ์หมี ขอถ่ายรูปหมีเก็บไว้หน่อย หมีสตาฟตัวนี้อยู่บริเวณ The Frontier Piriod
หมีสตาฟที่อยู่บริเวณ
Society of Brown Bear ตัวใหญ่ดี เข้าไปยืนให้มันกอดได้เลย
ขึ้นไปจุดชมวิวทะเลสาป Kuttara ที่ชั้นสามกัน วันนี้หิมะตก อุณหภูมิ 1 องศา เห็นได้ไม่ไกล แต่ก็สวยอีกแบบ
ลงไปเดินอีกด้านหนึ่งผ่านสนามแข่งเป็ด วันนี้เป็ดหนาววิ่งแข่งไม่ไหว
ก่อนไปให้อาหารหมี แวะถ่ายรูปกับหมีพ่อแม่ลูกกันก่อน อุตสาห์ทำไว้ให้ถ่ายรูป
แวะซื้ออาหารที่ซุ้มได้ครับ ขนมสำหรับหมี 100 เยน ปลาแซลมอน 300 เยน
จะเลือกขึ้นไปดูหมีตัวผู้หรือเลี้ยวขวาไปดูหมีตัวเมียดี
ไปดูตัวเมียกันก่อนแล้วกัน คนน้อยดี มีรูปบอกด้วยว่าตัวไหนชื่ออะไร คล้ายกันทั้งน้าน จะรู้ได้อย่างไรนี่
หมีสีน้ำตาลตัวเมียมีขนาดไม่ใหญ่มาก อยู่รวมกันหลายตัว โยนอาหารให้กันสนุกเลยครับ
เดินขึ้นไปดูหมีตัวผู้กันบ้าง
หมีตัวผู้มีอยู่ไม่มากครับ มีป้ายบอกชื่อด้วยเหมือนกัน
ท่าทางขออาหารของหมีตัวผู้นี่น่ารักมาก แถมรับอาหารเก่งกว่าตัวเมียอีก แต่ก็มีอีกาคอยมาแย่งอาหารไปได้ในบางครั้ง ที่นี่เราต้องไปซื้ออาหารมาเพิ่ม ก็มันขออาหารน่ารัก มียกมือขอด้วย
ที่กรงหมีตัวผู้ มีทางเดินด้านล่างไปให้อาหารหมีด้วย การให้อาหารที่นี่มีสองแบบ ให้ในหลุมด้านล่างแล้วใช้แกนดันออกไป หรือปล่อยให้ไหลลงทางช่องด้านบน ซึ่งหมีจะยืนขึ้นมาหยิบครับ เวลาใส่ด้านบนถ้าใส่ช้าหมีเอาปากมาเป่าเรียกด้วยละ
ให้อาหารหมีกันหมดแล้ว ออกเดินไปร้านขายของที่ระลึกที่อยู่ตรงทางไปลงกระเช้า เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ซื้อกลับไปก็เสียดาย เดี๋ยวนี้ไปแต่ละที่ถ้ามีโอกาศจะแวะซื้อกันหน่อย
ขากลับมารอกระเช้ามีหมีนั่งชิงช้า ที่นี่จัดสถานที่ให้มีจุดมองด้วย โชคดีได้นั่งกระเช้า Lucky ตู้เดิมด้วย
เก็บวิวระหว่างทางขาลงคู่กับตุ๊กตาหมีไว้หน่อย
เมื่อถึงด้านล่างมีกระเช้าที่มีตุ๊กตาหมีให้ถ่ายรูปด้วยครับ
เดินออกมาด้านทางออกมีกระเช้าปลาแซลมอนให้ถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งครับ
ที่บริเวณจุดจำหน่ายตั๋วขึ้นกระเช้าก็มีขายของที่ระลึก แต่เราซื้อกันมาจากด้านบนแล้วขอผ่านละ เดี๋ยวหมดตัว
เราเดินกลับไปทางโรงแรมแล้วเดินผ่านไปที่บ่อน้ำพุร้อน จิโงคุดานิ กันต่อ ระหว่างทางเดินจะเห็นยักษ์สองตัวนี้ ก่อนถึงลานจองรถ เดินข้ามถนนไปเก็บภาพกันก่อน
ตอนเย็นวันนี้คนเยอะมาก มีทัวร์มาลงตลอด รถบัสจอดเต็มลานจอด เราเดินขึ้นทางแยกเล็กไทางขวามือถ่ายป้ายนี้กันแทน ป้ายใหญ่คนเยอะไม่อยากเสียเวลาไปรอคิวถ่ายรูป
เดินผ่านป้ายใหญ่มามองไปเห็นศาลเจ้าเดินไปดูกันหน่อย
เดินตามทางไปเรื่อยเรื่อย อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น หนาวดีแท้
หันหลังกลับมามองวิวกันบ้างนะ ได้บรรยากาศอีกแบบ
เดินไปหยุดเก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อย ถ้าอากาศเปิด คงได้ภาพสวยกว่านี้
เดินฝ่าหิมะบนพื้นขึ้นเนินไป ระวังลื่นกันด้วย เก็บภาพมุมสูงไว้หน่อย
เดินมาถึงจุดชมวิวด้านบน จุดนี้สามารถขึ้นบันไดมาได้ตรงทางแยกที่ป้ายใหญ่ครับ ไม่ต้องลุยหิมะลื่นลื่นมาจากอีกทาง แต่เราเป็นสำรวจ ต้องเดินให้ครบรอบ
วิวด้านบนติดต้นไม้ ได้มุมไม่กว้างมาก มุมด้านล่างถ่ายรูปสวยกว่านะ
เราจะเดินขึ้นเขาไปกันต่อแต่เพือนทนอากาศหนาวไม่ไหว จึงต้องพาลับไปโรงแรมก่อน ระหว่างทางเดินไปลงบันไดกลับหืมะเต็มเลย ไปเที่ยวเตรียมชุดกันหนาวกันเต็มที่นะครับ หนาวจริงยิ่งเย็นยิ่งหนาว
ลงมาด้านล่างคนเริ่มน้อยแวะถ่ายรูปกับป้ายใหญ่กัน
กลับเช็คอินนำกระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องกันก่อน ห้องพักปรับ heater ไม่ได้ต้องใช้การเปิดหน้าต่างช่วยแทน ที่พักวันนี้เราจองแบบมีอาหารเย็นและอาหารเช้าด้วย
ยังมีเวลาเหลือก่อนอาหารเย็น 18:00 น. ผมกับแฟนกลับไปเดินกันต่อ ผ่านยักษ์สองตัวอีกแล้วคราวนี้ถ่ายรูปจากอีกฝั่งถนนละ
ครั้งนี้เมื่อเดินถึงป้ายใหญ่เราเดินเลี้ยวซ้ายขึ้นบันได มีจุดมุ่งหมายไปที่ Oyunuma อย่างเดียวเลยครับ กลัวจะมืดก่อน
ถึงด้านบนแทบไม่มีคนอยู่แล้ว รีบเดินกันเลย
ทางซ้ายมือมีป้ายบอกทางไป Oyunuma มีแต่หิมะ
เดินไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ทางตรงกลางเริ่มเป็นน้ำแข็ง ต้องเดินเหยียบหิมะด้านข้างขึ้นไปเพราะกลัวลื่น วัยรุ่นญี่ปุ่นที่เดินสวนลงมาใช้วิธีไถลเท้าลงมาเลย ไม่กลัวล้มกันเลย
มีเลี้ยวขึ้นบันไดไปอีก ดีหน่อยที่ทางเดินตรงกลางไม่มีหิมะ เดินขึ้นกันต่อเลย Gogogo
ถึงด้านบนยังต้องเดินบนหิมะต่อไปอีก แต่ไม่ไกลแล้วครับ เดินเหยียบหิมะด้านข้างไป ตรงกลางเป็นน้ำแข็งลื่น
ถึงแล้ว Oyunuma ต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อย อิอิ
Oyunuma เป็นทะเลสาบร้อนบนเขา มีลักษณะเป็นฟองสบู่ร้อนที่มีโคลนหนาล้อมรอบขอบ มีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 50 องศาเซลเซียส เราไม่สามารถลงไปได้เนื่องจากทางปิด (ทางชันและมีหิมะหนา)
เดินกลับละครับ เริ่มเย็นแล้ว ขากลับเดินลงยิ่งลื่นมากกว่าอีก ดีที่ด้านบนมีราวให้จับกันลื่นหน่อย
เดินลงมาถึงด้านล่างยังมีคนถ่ายรูปที่ป้ายอยู่เลย แต่เส้นทางเริ่มเปิดไฟบ้างแล้วแวะหามุมถ่ายรูปกันก่อน
ถ่ายรูปอยู่หิมะตกและเริ่มตกมากขึ้นเรื่อยเรื่อย เริ่มหนาวละ
ยักษ์เขียวแดงสองตัวนี้มีไฟส่องให้ตอนกลางคืนด้วย ทำให้เหมือนมานั่งก่อกองไฟเฝ้ายามกัน
ยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นเดินเล่นไปเรื่อย แวะถ่ายรูปศาลเจ้า Enmado ตอนเปิดไฟบ้าง
หิมะตกเบาเบา ป้ายหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ยังไม่ 18:00 น. แต่บรรยากาศเหมือนสองทุ่มเลย
กินไอศครีมแก้หนาวกันหน่อย
ร้านขายของที่ระลึกร้านนี้ห้ามถ่ายรูปหน้าร้าน เราถ่ายฝั่งตรงข้ามร้านแทนแล้วกัน
กลับไปกินอาหารเย็นที่โรงแรมกันครับ มื้อนี้มีขาปูด้วย แต่เค็มไปหน่อยนะ
มีเนื้อ ปลาหมึก ปลาแซลมอน และอาหารอื่นตามรูปเลยครับ
dinner มื้อนี้ของผม น่ากินไหม
อิ่มแล้วแอบบไปส่องออนเชนห้องผู้ชายกันหน่อย
คืนนี้พักผ่อนก่อนละ แต่เพื่อนออกไปถ่ายรูปการแสดงที่ศาลเจ้า Enmado ส่งมาให้ทาง line ลืมไปมีรอบ 20:00 น. อดเลย ว่าแต่หาวิธีเปิดหน้าต่างไม่ได้ นอนร้อนกันเลยคืนนี้ มาหาเจอตอนเช้าเซ็งเลย แต่ก็ดีไปอย่างเช้านี้เลยตื่นเช้าออกไปเดินเล่นเก็บภาพที่บ่อนรกกันอีกรอบ เดินผ่านยักษ์คู่นี้ เก็บภาพมันอีกละ คราวนี้เอาหิมะมาเล่นบนหัวด้วย
ตอนเช้าบริเวณทางเข้าเหวนรกไม่มีคนเลย
เมื่อวานบริเวณนี้คนเต็มไปหมดเลยครับ ใครค้างคืนตื่นเช้ามาถ่ายรูปกันได้สบาย
เดินเก็บภาพบรรยากาศตอนเช้ามาฝากกันครับ ดูกันไปเพลินเพลิน ยาวไป ตั้งแต่เดินเข้าไปจนเดินกลับออกมา
เดินขึ้นไปดูด้านบนศาลเจ้ากันหน่อย
ยังพอมีเวลา เดินลง Sengen Park ข้างโรงแรมกันหน่อย กระบองเยอะดี 555
ปากทางบ่อน้ำพุร้อนใต้สะพานที่เราเดินข้ามไปมาตอนไปบ่อนรก
น้ำพุร้อนแห่งนี้จะมีน้ำอุณหภูมิ 80 องศาประมาณ 200 ลิตร พ่นขึ้นมาทุกทุก 3 ชั่วโมง มีความสูง 8 เมตร
ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ไปดูกันหน่อยว่ามีอะไรให้กินกันบ้าง
มื้อเช้าของผมวันนี้ น่ากินไหม
วันนี้เช็คเอ้าท์ออกจาโรงแรมกันเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้ครับ จะกลับไปเที่ยว Mt. Moiwa กันต่อ เดินออกไปดูป้ายรถเมล์หน้าโรงแรม ช่วงเช้ามีรถมารอบ 08:05 , 08:55 , 09:20 , 10:13 , 10 :53 น. เราเลือกรอบ 08:55 น.
ออกมาคอยรถก่อนเวลา 10 นาที รถมาตามเวลาเลยครับ ขึ้นรถหยิบตั๋ว (คราวนี้ไม่ลืมแล้ว) รถวิ่งไปรับคนที่ป้าย Noboribetsu Onsen (N11) คนขึ้นเยอะมาก แล้ววิ่งตามทางไปจนถึงปลายทางสถานีรถไฟ Noboribesu
วันนี้อากาศดี ยักษ์หน้าสถานียิ้มเลย
เรารีบเข้าไปขอเปลี่ยนตั๋ว reserved seat มาเป็นรอบรถไฟที่จะมา แล้วขึ้นรถไฟเดินทางกลับไปยัง Sapporo ระหว่างรถไฟออกวิ่งจะเห็น Noboribetsu Marine Park Nixe ที่นี่มีเพนควินเดินด้วยครับ เผื่อใครสนใจไปชมกัน
จบรีวิว noboribetsu เพียงแค่นี้ครับ แล้วจะพาไปเที่ยวกินอาหารชมวิว นั่งรถลุยหิมะ ที่ Mt. Moiwa กันต่อ
ขอบคุณครับ
แผนการเดินทางของทริปนี้ครับ
วันที่ 1 เวลา 13:15 น. เดินทางถึง CTS เที่ยว Sapporo และพักที่ Hokkaido Sapporo-eki Kita-guchi
แลกตั๋ว JR-Hokkaido 7 วัน 24,000 เยน เปิดใช้ วันถัดไป จ่ายค่าตั๋วรถไฟเข้าเมืองเพิ่ม 1,360 เยน
วันที่ 2 เวลา 08:43 นั่งรถไฟไป Otaru แล้วต่อรถไฟไป Kutchan แล้วนั่งนั่งรถบัสไป Grand Hirafu
วันนี้เที่ยวที่ Niseko พักที่ Moutin Jam/Niseko Prince Hotel Hirafutei
วันที่ 3 เวลา 11:50 น. นั่งรถบัสไปสถานี Kutchan ต่อรถไฟไป Oshamambe แล้วต่อรถไฟไป Toya(JR-MURORAN) แล้วต่อรถบัสไปทะเลสาปโทยะ (Toya Lake) คืนนี้พักที่ Kohan Tei
วันที่ 4 ล่องเรือทะเลสาปโทยะ แล้วนั่งรถบัสไปสถานี Toya(JR-MURORAN) ต่อรถไฟไป Noboribetsu แล้วต่อรถบัสไป Noboribetsu Onsen เที่ยวฟาร์มหมีกับบ่อนรก คืนนี้พักที่ Takimoto
วันที่ 5 นั่งรถบัสไปสถานี Noboribetsu ต่อรถไฟไป Sapporo(JR) วันนี้ไปเที่ยว Mt. Moiwa พักที่ Hokkaido Sapporo-eki Kita-guchi
วันที่ 6 นั่งรถไฟไป Otaru Chikou ต่อรถบัสไป Kiroro ตอนเย็นกลับมาเที่ยวที่ Otaru แล้วกับไปนอนที่ Sapporo
วันที่ 7 นั่งรถไฟไป Tomamu เที่ยวและพักที่ The Tower
วันที่ 8 เดินทางกลับไปเดินเที่ยวที่สนามบิน CTS ก่อนกลับกรุงเทพฯ
ป้ายรถเมล์หน้าสถานี Noboribetsu
ป้ายแสดงราคาค่าโดยสารรถบัสที่หน้าโรงแรม Takimoto inn ป้าย Daiichi Takimotoken (N13)
ตั๋วขึ้นกระเช้าและเข้าชมหมีกัน ราคา 2,592 เยน
Wit Sil
วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.17 น.