กระทู้นี้เป็น Review เวอร์ชั่นฉบับเต็ม ทริปใบไม้เปลี่ยนสี Leh Ladakh ที่ไปมาปลายตุลาคม 2016
อาจหนักไปทางโม้ เล่าเรื่อยเปื่อย แบบบันทึกเดินทางที่ไปมาเกือบสองสัปดาห์
..
..
ถ้าคิดว่าน้ำท่วมทุ่งไป ก็แนะให้ข้ามดูแต่รูปเอาก็ได้ (แค่รูปก็เยอะจนตาลายแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า)
หรือใครขี้เกียจอ่านเวอร์ชั่นเต็ม ก็ไปอ่านฉบับย่อตามลิงค์ข้างล่างนี้แทนแล้วกัน
+++ Autumn Trip : Mini-Review ... ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ LEH LADAKH +++
หรือว่าอยากสอบถามเพิ่มเติม ก็แวะเข้าไปคุยสอบถามกันได้ที่
FB: https://www.facebook.com/JoinMe2TheWorld
..
..
+++ 3G warning : ก่อนเปิดอ่านกระทู้ แนะนำต่อ wifi ก่อน เพราะต้องโหลดรูปเยอะมาก +++
สรุปแผนเดินทางคร่าว ๆ ก็ตามนี้เลย
ทริปนี้ประมาณ 14 วัน ใช้เงินรวมทุกอย่างแล้ว ไปประมาณ 25,000 บาท
แบ่งเป็น ค่าตั๋วเครื่องบิน 16,000 บาท (ไปกลับ 4 เที่ยว)
ค่าโรงแรมที่พัก ค่ารถเดินทาง ค่าอาหาร อีกประมาณ 9,000 บาท
คือเป็นทริปที่ดีงามอลังการ แต่ค่าใช้จ่ายโคตรถูก
รูปเกือบทั้งหมดถ่ายจากกล้อง Canon 60D (รูปที่มีลายน้ำ๗ และก็บางรูปจากมือถือ
โม้มานานแล้ว ... เข้าเรื่องกันดีกว่า ... ใครพร้อมแล้วตามมาได้เลย : )
Join me to the LEH # Day 1
ทริปนี้เริ่มบินไฟท์ของ TG จาก BKK - Delhi ออกจากไทยตอน 18.00 ถึงที่สนามบิน Delhi ก็ประมาณสามทุ่ม
แต่ประเด็นคือถึงสนามบินเสร็จ เราก็ต้องย้าย Terminal จากระหว่างประเทศ
มาเป็น Terminal ในประเทศ เพื่อรอต่อเครื่องจาก Delhi ไป Leh ตอนตีห้ากับสายการบิน Go Air
สนามบินมีรถ Shuttle Bus บริการทุก 20 นาที รับส่งฟรีระหว่าง Terminal (เดินไม่ได้ เพราะไกลมากกก)
ดังนั้นเช็คให้ดีว่าตอนต่อเครื่องต้องย้าย Terminal ไหม ... ถ้าไม่ย้ายก็รอที่Terminal เดิมได้เลย
ถ้าต้องย้าย ก็เผื่อเวลาให้ดี เดี๊ยวจะตกเครื่องไป Leh เอา
รถ Shuttle Bus พี่บังคนขับแกเหยียบได้โคตรซิ่ง ทิ้งโค้งไม่ต้องชลอ เหมือนลืมคันเบรคไว้ที่บ้าน
กระเป๋าสัมภาระใครจับไม่แน่น ก็กลิ้งกระเด็นไปตามเเรงเหวี่ยงตอนเข้าโค้ง
และที่ขาดไม่ได้ตามอินเดียสไตล์ คือ บีบเเตรลากยาวไล่บี้คันหน้าที่ขับช้ากว่าทุกคัน
ขับมากว่า 20 นาที พี่บังเเกเบรคเเค่รอบเดียว คือตอนถึง Terminal ในประเทศ
พอลงจากรถมา เข้าในตัวอาคารผู้โดยสารก็ดูใหม่สะอาดดี เเต่เหมือนมีปัญหานิดหน่อย
คือ เก้าอี้ไม่พอให้นั่ง หมู่เฮาชาวอินเดียเลยพร้อมใจกัน นอนเกลื่อนเต็มพื้นสนามบินเลย
แล้วเราจะทำไงหล่ะ อ้าวพี่อินเดียเค้านอนได้ เราก็นอนพื้นตามเด่ะ
ก็นอนมันพื้นสนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่องตอนเช้าไป Leh ... Welcome To India Style อย่างเป็นทางการ : P
Join me to the LEH # Day 2
ก็หลับๆตื่นๆ แม้พยายามจะนอนกลมกลืน เเต่ก็หลับไม่ค่อยลง
ทั้งกลัวนอนยาวเกินตกเครื่อง แล้วก็กลัวของหาย
แถมมาเจอเครื่องดีเลย์อีกชั่วโมงครึ่ง จาก 05.15 มาออก 06.40
ก็ได้แต่รอยันเช้า จนได้เวลา Flight no.G8-203 เรียก Boarding ซะที ... เย้ๆๆๆๆ ได้ไป Leh แล้ว
ก่อนขึ้นเครื่องไป Leh แนะทริก ให้จองที่นั่งด้านหลังฝั่งซ้ายไว้เลย เพราะถ่ายรูปได้ไม่ย้อนแสง
หลังออกเดินทางจากไทยมากว่า 15 ชั่วโมง นี่คือวิวแรกจาก Leh ที่มาต้อนรับเรา !!!
วิวยิ่งใกล้ลงตัวเมืองยิ่งต้องร้องว้าววว !!!!
พอถึงสนามบินขนาดกะทัดรัดที่ Leh อากาศเย็นก็เข้าโจมตีทันที
หนาวควันออกปาก ต้องรีบขึ้นรถขนผู้โดยสารไปอาคารหลักของสนามบิน
รับกระเป๋าเดินทางเสร็จ ก็ออกมาเจอคนขับมารับไปโรงเเรมที่พัก
เข้าเช็คอิน ก็นอนหลับไปพักใหญ่ ... ตื่นบ่ายก็เริ่มโปรแกรมเที่ยวรอบเมือง
วันนี้โปรแกรมเบา ๆ รอบเมืองสามที่ คือ Tsemi Gompa, Leh Palace และ Shanti Stupa
..
..
เห็นวิวเมืองมุมสูง จาก Tsemi Gompa นี้เข้าไป หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
ขับรถไปต่อที่สองกันที่ Leh Palace ส่วนตัวไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร
แต่ในความไม่มีอะไร เราว่ามันมีอะไร ... อย่าพึ่ง งงกันนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
คือ ตัวอาคารอ่ะเราว่าเฉย ๆ แต่ที่ชอบ คือ ได้ถ่ายภาพมุมสูงตัวเมือง Leh ก่อนพระอาทิตย์ตก
ที่สุดท้ายของวันแรก ที่ Shanti Stupa พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว
อากาศหนาว ลมก็พัดแรงสุด ๆ หนาวจนหน้าเริ่มชาหล่ะ
ตัว Leh Palace และตัวเมืองที่ถ่ายย้อนกลับไปจาก
Shanti Stupa
แล้วก็ขอลาแสงของวันแรกที่ Leh ไปด้วยภาพเทือกเขาไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ถ่ายจาก Shanti Stupa
Join me to the LEH # Day3
วันนี้เริ่มจัดทริปออกเที่ยวนอกเมืองกันวันแรก ก็เริ่มจากที่สูงระดับเดียวกับตัวเมืองก่อน
ยังไม่เดินทางไปไกลมาก เพื่อให้ร่างกายได้เริ่มปรับตัวกันก่อน
จุดหมายทริปวันนี้ คือ ทัวร์สายธรรมะ เป็นทริปสายบุญ ทัวร์สามวัด
เลยจัดทริปจากวัดที่ไกลสุดก่อน คือวัด Lamayuru Monastery อยู่ห่าง 125 กม จากเมือง Leh
ระหว่างทางก็แวะจุดบรรจบของแม่สองสาย คือ Indus และ Zanskar
แล้วก็ต่อด้วย Moonland ดินเเดนเเห่งโลกพระจันทร์ อีกเเลนด์มาร์คเก๋ๆ ที่ Leh
แล้วก็มาถึง วัด Lamayuru Monastery จุดหมายที่ไกลสุดของวันนี้
วิวจากตัว วัด Lamayuru Monastery ใบไม้กำลังเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีเหลืองสวยมาก
ถ่ายภาพรถบรรทุกจากวัด Lamayuru Monastery ขนาดรถเมื่อเทียบกับภูเขา ก็เหลือคันนิดเดียว
เสร็จจากวัด Lamayuru Monastery ก็ว่าคิดทำเวลาดีระดับนึง กลับมาทันอีกสองวัดที่เหลือแน่นอน
ช่วงจอดแวะพักระหว่างทาง ตอนบ่ายสามกว่า พอจะไปต่อคนขับบอกรถเสียสายพานขาด
รถไปต่อไม่ได้ ... ต้องรอเพื่อนเค้าขับตีเปล่าจาก Leh รับพวกเราเข้าเมืองแทน
ระหว่างรอรถ เลยถ่ายรูปเล่นในหมู่บ้านที่รถจอดเสียแทน
สรุปได้รอที่หมู่บ้านยันมืด กว่าอีกคันมาถึง ก็เลยจำใจ skip เเพลน ไม่ได้ไปต่ออีกสองวัดที่เหลือ
สงสัยนาน ๆ เข้าวัดที กะเข้ารวดเดียวสามวัด ... ทริปสายบุญของพวกเราถึงกับทำรถพัง ฮ่าฮ่าฮ่า
ก็นั่งรถเข้าเมืองแบบมืด ๆ กันไป ถึงโรงแรม ก็แยกย้านเก็บของแบ่งใส่กระเป๋าเล็ก
เพื่อเตรียมเดินทางออกนอกเมืองกันต่อไป ในวันรุ่งขึ้น
Join me to the LEH # Day 4
แพลนวันนี้นั่งรถไกลมาก จะไปทะเลสาบ Tso Moriri จากเมื่อวานรถเสีย เลยเปลี่ยนคนขับรถใหม่
ชื่อ Mutup พวกเราเลยตกลงกับ ว่าจะเรียกชื่อเป็น พี่หมูทุบ ... เพราะออกเสียงจำง่ายดี
พี่หมูทุบนอกจากขับเก่ง แล้วเเกพูดอังกฤษได้โอเค
เลยสามารถเป็นได้ทั้งคนขับ ไกด์ และล่าม ในคนเดียวกัน
ระหว่างทางไปทะเลสาบ พี่หมูทุบพาแวะ Shey Monastery กับ Thikse Monastery ที่อยู่แถว ๆ ตัวเมืองก่อน
..
..
จุดแวะที่แรก Shey Monstery
เสร็จแล้วก็ไปต่อ Thikse Monastery ที่อยุ่ใกล้ ๆ กัน
แล้วก็ขับรถยิงยาวกันไป Tso Moriri เลย
มี เเวะจอดพักกินข้าว กับถ่ายรูปตามรายทางนิดหน่อย
นั่งรถกันนานมากวันนี้ กว่าถึงทะเลสาบ Moriri ก็ตอนค่ำพอดี ไม่เห็นอะไรแล้ว
แล้วอากาศหนาวมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ... เจ้าของ Home Stay ที่พักบอกสัก 5 องศา
พวกเราเก็บของเข้าที่ห้องพัก ก็มานั่งรวมพิงเตาไฟกันในห้องครัว
ก็นั่งพิงเตากันไปกินข้าวไป พี่หมูทุบเริ่มโชว์สกิลสายฮา ตั้งชื่อภาษาลาดัสกี้ให้เราทุกคน
กินข้าวกันเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายเข้านอนเลย เพราะยิ่งตกดึกยิ่งหนาว
Join me to the LEH # Day 5
ผ่านคืนหนาวสุด ๆ ที่ทะเลสาบ Tso Moriri มาได้ ... ก็หนาวไม่มากนะ เเค่ -10 องศา T__T
เค้าบอกหน้าหนาวจริง ที่นี่ประมาณ -35 องศา เเล้วช่วงนั้นหนาวจัดจนไม่มีนักท่องเที่ยว
คือไม่ต้องช่วงนั้นหรอก เอาเเค่ช่วงนี้ที่ -10 องศา นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็จะแข็งตายแล้ว
ตอนเช้าตื่นมาอยู่ในบ้านพอไหวนะ แต่พอเปิดประตูมานอกบ้านเท่านั้น
หนาวมือชา เท้าชา แบบกระดิกไม่ได้ ไร้ความรู้สึกกันเลย
น้ำขวดทิ้งไว้ในรถก็เเข็งโป๊ก ปาหัวหมาแตกแน่
ที่ Tso Moriri จะสูง 4,595 เมตรจากระดับน้ำทะเล
น้ำที่ทะเลสาบโมริริ มีสีออกฟ้าคราม ตัดกับเทือกเขาด้านหลังที่ทอดยาวเป็นเเนว
เรียกว่าสวยคุ้มเหนื่อย ที่ต้องนั่งรถมาข้ามวัน
พอมองทะเลสาบโมริริจากมุมสูง ดูแล้วเหมือนดาวเเททูอิน บ้านเกิดของ อนาคิน ในเรื่อง Starwar เลย
อากาศเช้านั้นที่ Tso Moriri หนาวมาก ๆ สำหรับพวกเรา หนาวแบบแข็งไปทั้งตัว
ต้องรอให้แดดออกตอนเช้าออก แล้วรีบเอาตัวไปผึ่งแดด ให้คลายหนาวขึ้นมาได้นิดหน่อย
เห็นเนินเขาหลังหมู่บ้าน ดูด้วยตาไม่สูง ก็ห้าวไง ... อยากเดินขึ้นไปถ่ายรูปเล่น
กว่าจะถึงจริง พักหอบไม่รุ้กี่รอบ ลมเเทบจับ
เพราะที่ Leh อากาศจะเบาบางกว่าปกติ คนมาจากที่ราบ จะเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ
บางคนเเค่เดินธรรมดา ก็เหนื่อยหอบแล้ว ... ดังนั้นไม่เเกร่งจริง เเนะนำอย่าห้าวใช้เเรงเยอะ
ซึ่งอาจส่งผลกับโรคเเพ้ที่สูง (Altitude sickness) ค่อนข้างอันตราย
แนะก่อนมา Leh หาข้อมูลก่อนด้วย
ช็อตโดดนี้ เล่นเอาเหนื่อย ... แต่เป็นการโดดที่ทำสถิติให้ตัวเอง
เพราะเป็นการโดดจากระดับน้ำทะเลที่สูงที่สุดในชีวิตแล้ว
พอสาย ๆ ก็ไปเก็บของ พร้อมกินข้าวเช้าของที่พัก
เตรียมตัวออกจาก Tso Moriri กลับเข้าเมือง Leh
ก่อนกลับ ก็บอกให้พี่หมูทุบจอดลงไปถ่ายรูปกันอีกรอบ ให้คุ้มกับที่นั่งรถมาไกลหน่อย
ทั้งทะเลสาบ Moriri มีแต่พวกเรา ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเลย
ถ่ายรูปกันมันส์มาก ไม่ค่อยบ้ากล้องกันเลยพวกเรา ฮ่าฮ่าฮ่า
ตอนสิบโมงครึ่งกว่าแล้ว แม้เเดดจ้าแต่น้ำทะเลสาบโมริริ ส่วนปลายที่ติดกับฝั่ง
บางส่วนยังจับตัวเป็นน้ำเเข็งอยู่เลย ว่าแล้วพี่หมูทุบ ก็หยิบแผ่นน้ำแข็งพร้อมโพสท่าโชว์
ขากลับจากทะเลสาบ Moriri พี่หมูทุบพาไปอีกทาง ต่างเส้นกับขามา
ถนนบางช่วงเเค่บดกรวด หรือไม่ก็เป็นหินลูกรังล้วน ๆ ... ทางเด้งไปมาเป็นชั่วโมงๆ
โดยเราจะมุ่งหน้าไปจุดต่อไป เป็นอีกทะเลสาบอีกแห่ง ... Tso Kar
ไปถึง Tso Kar ตอนบ่ายสอง ยังเห็นน้ำจับเป็นน้ำเเข็งอยู่เลย
ถ่ายรูปที่ Tso Kar กันเสร็จ พี่หมูทุบก็ขับรถต่อไป
บนถนนที่สูงเกือบห้าพันเมตรจากระดับน้ำทะเล ถนนบางช่วงมีไต่ขอบผา ให้เสียวเล่นกัน
พอเข้าถึงตัวเมือง Leh ตอนบ่ายสี่ก็เเวะวัด Hemis Monastery ก่อน
เสร็จพี่หมูทุบค่อยหย่อนพวกเราที่โรงเเรม แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยมารับไปลุยกันต่อ
Join me to the LEH # Day 6
เช้าวันถัดมาพี่หมูทุบคนดี คนเดิม ก็มารับพวกเราที่โรงเเรม
จุดหมายวันนี้ เราจะไปค้างที่ Nubra Valley
พอเริ่มออกจากLeh เส้นทางก็เริ่มไต่เขาสูงขึ้นไปเรื่อย
ก็ได้เวลาพี่หมูทุบ ปล่อยของโชว์สกิล King Of Road อีกครั้ง
แม้ทางจะเเคบ เเละขับเลาะหน้าผาสูงตลอด เเต่พี่หมูทุบตบเกียร์เหยียบคันเร่งเเซงมันทุกคัน
รถ MC บรรทุกทหารอินเดียเต็มคัน มีปืนมีอาวุธครบทุกคน
พี่หมูทุบไม่มีกลัว ... รถทหารคันเค้าใหญ่ แล้วถนนบนภูเขาแคบ เเซงลำบากใช่ไหม
พี่หมูทุบบีบเเตรไล่ยาว จนรถทหารยอมแพ้หลีกชิดข้างทาง หลบให้พวกเราไปก่อน
พี่หมูทุบเค้าห้าวจริงไรจริง กับชีวิตหลังพวงมาลัย เป็นเรื่องเดียวที่พี่เค้ายอมใครไม่ได้
ขับมาสักพักถึงก็เริ่มเจอยอดเขาที่เป็นหิมะ จากที่อากาศเย็นอยู่แล้ว ก็ยิ่งหนาวสั่นกันเข้าไปใหญ่
แล้วพี่หมูทุบ ก็พาเเวะจอดจุดเเรกที่ Khardungla La Pass ซึ่งเป็นถนนสูงสุดในโลกที่รถวิ่งผ่านได้
ความสูงอยู่ที่ 5,600 เมตร ตรงจุดยอดมีหิมะปกคลุมตลอด
เกิดมาพึ่งเคยจับหิมะเเต่ที่ดรีมเวิร์ด เเต่วันนี้มีบุญได้จับของจริงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
ตรงจุดสูงสุดที่เเวะลง ตอนนั้น -15 องศา ไม่พอดันมีหิมะตกบางๆจากฟ้าอีก
เรียกว่าสุดๆเวลานั้น หนาวจนปากสั่นมือบวม สักพักมือเริ่มชาไร้ความรู้สึก กดซัตเตอร์กล้องไม่ได้แล้ว
ทนไม่ไหวต้องหนีเข้ารถ แล้วบอกให้พี่หมูทุบขับไป Nubra ต่อ
..
..
ผ่าน Khardungla La Pass มาสักพัก เราก็เจอเขตหุบเขาหิมะเเบบจริงจัง
มองไปทางไหนก็เจอเเต่หิมะปกคลุมยอดเขาเต็มไปหมด
วิวข้างทางเหมือนขนมบราวนี่โรยผงไอซ์ซิ่ง ขับผ่านไปสั่นไปแม้นั่งในรถ
ยิ่งตอนเปิดกระจกถ่ายรูปทีเย็นวาบตัวจะเเข็งให้ได้
แล้วที่เห็นจิ๋ว ๆ ก็รถโดยสารที่วิ่งบนถนน ... เทียบไซส์กับภูเขา รถกลายเป็นของเล่นไปแล้ว
วิวข้างทางที่ Leh เเต่ละวันมีให้ตี่นตาตื่นใจไม่ซ้ำเเบบจริง
ขับมาเจอจุดจอดพักรถ วิวข้างหลังเป็นลำธารเเต่น้ำเเข็งโป๊ก
ขนาดวิวหลังห้องน้ำยังเทพขนาดนี้ เอากับ Leh ซิเอา : P
ในที่สุดพี่หมูทุบสิงห์เจ้าถนน ก็พาพวกเราผ่านเขตหิมะมาได้
เข้าสู่โซนภูเขาหินสีน้ำตาลตามปกติ อากาศยังเย็นอยู่ เเต่ไม่ถึงหนาวทรมานมาก
หนทางก็ยังอีกนานหลับกันไปหลายตื่น ก็จอดแวะพัก แวะถ่ายรูปกันบ้างไปเรื่อย ๆ
จนเข้าเขตทะเลทราย Sand Dunes พี่หมูทุบก็พาพวกเราไปขี่อูฐเล่นกัน
อูฐบางตัวอารมณ์ไม่ค่อยดี ใครเเปลกหน้าจับจะเหวี่ยงไปมา
คาดเพราะเจอขี่มาทั้งวัน ถ่านไฟอ่อน แต่เจ้าของก็ไม่ยอมเปลี่ยนถ่านก้อนใหม่ให้
ดังนั้นเราไม่ควรไปกวนพี่อูฐพวกนี้ดีกว่า
แต่ซึ่งส่วนใหญ่เเก๊งค์พี่อูฐจะเชื่อง น่ารัก ทำหน้านิ่งๆไปจับ ไปขี่ได้ไม่มีปัญหา (จับฟรี แต่จ่ายตังค์ก่อนขี่นะ)
เเต่ถ้าอยากยกระดับความสัมพันธ์ จากลูกค้าไปเป็นเพี่อนกับมันได้
ถือว่าต้องใช้ศิลปะเจรจาการฑูตขั้นสูงมาก เพราะถ้าเราซี้กับพี่อูฐมากพอ
ตอนถ่ายรูปเซลฟี่พี่อูฐจะยิ้มหวานใส่กล้องเราให้ด้วย : )
คาราวานอูฐพร้อมตั้งขบวนออกเดินทางได้ ... คนอื่นเค้าขี่อูฐ
แต่อยากได้รูปต้องวิ่งตาม แล้ววิ่งบนทรายยวบๆ เหนื่อยโฮกกกก
วิ่งถ่ายไป หลบขี้อูฐไป จัดเป็นความเพลิดเพลินอย่างนึงที่หาได้ที่ Leh
ช่วงเเรงยังดี วิ่งตามถ่ายพอทันอยู่ แล้วระยะก็เริ่มทิ้งห่างไปเรือย ๆ เพราะหมดแรงข้าวต้ม
ช่วงหลังพอเหอะ พลังหมดแล้ว ควักเอาเลนส์เทเลมาถ่ายแทนแล้วกัน - -"
ภาพนี้โคตรไกล อยากเก็บฉากภูเขาด้วย ก็ต้องกดกล้อง ให้ฝูงอูฐมาอยู่ต่ำๆ
หน้าตอนถ่าย แทบจะแนบกับทรายแล้ว ดีนะมีขี้อูฐในทราย (เหม็นพอๆกับเยี่ยวอูฐ)
เลยต้องยั้งเอาไว้ ... ไม่งั๊นคลุกทรายถ่ายได้ ก็คลุกถ่ายไปหล่ะ
ถ่ายอูฐ หรือคน ก็เหมือนกัน คือเหนื่อยหมดเเรง วิ่งไมไหวหล่ะ ถ่ายจากระยะไกลแทนแล้วกัน - -"
หลังจากขี่อูฐเสร็จ ก็อยู่ถ่ายรูปเล่นกันที่ในทะเลทราย Sand Dunes กันอีกสักพัก
พอใกล้ตอนเย็นแล้ว พี่หมูทุบก็ต้อนพวกเราขึ้นรถ ก็พาไปแวะวัด Diskit monastery
อุณหภูมิของอากาศเริ่มลดต่ำลงตามแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับจากขอบฟ้า
ระหว่างทางที่พี่หมูทุบก็ขับพาเข้าโรงเเรมที่พัก ที่ Nubra Valley
พวกเราลองคุยแผนเดินทางวันพรุ่งนี้กับพี่หมูทุบกัน
จากเเผนเดิมเราจะเเวะกลับเข้าไปค้างคืนที่ Leh นึงคืนก่อน ... แล้วค่อยไปที่ Pangong Lake
แต่พวกเราอยากเปลี่ยนแผนเป็น ขับตรงจาก Nubra Valley ไป Pangong Lake เลย
เพราะระหว่างทางมีป้ายเขียนเเยกเลี้ยวไป Pangong ได้เลยประมาณ 4 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียเวลาขับรถวนไปมา
..
..
เลยถามพี่หมูทุบก่อน ว่าถนนเส้นที่จะเปลี่ยนแผนนี้โอเคไหม เเกก็ตอบ "แพลนนี้ เวรี่ ... กู๊ดดดดดดด"
แล้วบ้านพักที่ Pangong Lake หล่ะ ... เลื่อนเข้าพักเร็วขึ้นวันนึงได้ใช่ไหม
เเกก็ตอบว่า " No problemmm " เลื่อนได้สบาย
แถมมีบอกว่าด้วย ที่พัก Pangong ของ พวกยูว์ที่จองไว้ ... วิวบิ๊วตี้พูลลลล มาก ๆ
สรุปพวกยูว์ไม่ต้องวอรี่อะไรนะ มากับเฮียหมูทุบ ทุกอย่างเฮียจัดการได้ !!!
ก็นัดเเนะเวลาพรุ่งนี้กัน แล้วเเกขอเเยกไปนอนที่บ้าน เพราะที่เนี่ยะเป็นบ้านเกิดของพี่หมูทุบ
..
..
ตอนกินข้าวเย็นที่โรงแรม ชาวเเก๊งค์ก็ประชุมการบริหารจัดการเสบียงกันนิดนึง
เพราะคิดว่าออกจาก Leh มานอกเมือง คือ Nubra Valley เเค่คืนเดียว เลยเอาเสบียงมาน้อย
และเสื้อผ้ากันหนาวก็เตรียมมาไม่พร้อมนัก ทีนี้ต้องเพิ่มนอนนอกเมืองอีกคืนเพราะไป Pangong ต่อเลย
..
..
เเต่คิดกันว่าพวกเราผ่าน - 10 องศา ที่ Tso Moriri Lake มาได้แล้ว
ที่ Pangong Lake อยู่ต่ำกว่าก็คงพอลุยกันไหว ก็ยึดตามอุดมการณ์เดิมมุ่งตรงไป Pangong เลย
กินข้าวเสร็จ ชะโงกหน้าดูท้องฟ้าดาวเต็มเลย เเปลกมากเพราะวันนี้เป็นวันเเรกที่เจอฟ้ามีเฆมครึ้มทั้งวัน
พอตกกลางคืนกลับเจอพี่ช้างเผือกยิ้มเเป้นบนฟ้าซะงั๊น
แล้วอากาศที่ Nubra Valley พวกเราพอสู้ไหว เพราะเป็นที่ความสูงต่ำเกือบสุดในเขต Leh
อากาศเลยไม่หนาวทรมานมากหนัก เลยออกมาถ่ายรูปดาวกันเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไปนอน : )
Join me to the LEH # Day 7
ตื่นมากินข้าวกับไข่เจียว บวกเสบียงที่เตรียมกันมานิดหน่อยก็พออยู่กันได้
เพราะที่ Leh เนื้อสัตว์หายากมาก ... แล้วลูกชายเจ้าของที่พักอายุสักเก้าขวบ
น่ารักมากออกมาช่วยพ่อเสริฟไข่เจียวมือเป็นระวิง
ถูกใจเหล่าป้าๆ เลยให้ขนมและของเล่นที่เตรียมมากันยกใหญ่
ก่อนออกจากที่พักก็มีโบกไม้โบกมือร่ำลา พร้อมถ่ายรูปที่ระทึกกันก่อน
นายแบบประจำเช้านี้ได้แก่ พี่หมูทุบ เจ้าของสโลแกน ... หนุ่มใหญ่ ใจดี รักสัตว์ เลห์ลาดักส์ : )
พอออกเดินทางต่อ พี่หมูทุบโชว์สกิลเทพอีกครั้ง ระหว่างทางขับรถไปพี่เเกก็ทักคนไปเรื่อย
สรุปทักเเทบจะหมดทั้งหมู่บ้าน เห็นจากความป็อปปูล่าแล้ว
คาดว่าพี่หมูทุบคงเป็น นายก อบต. แล้วมาขับรถเป็นงานอดิเรก
พ้นเขตหมู่บ้าน พี่หมูทุบก็เริ่มเข้าสู่โหมด Max speed อีกครั้ง
เพื่อมุ่งตามเส้นทางลัดตัดไป Pangong Lake ... ก็นั่งหัวสั่นหัวคอนกันไปกันเรื่อย
ถ้าจุดไหนสวยก็บอกพี่หมูทุบแวะจอดถ่ายรูปไปเรื่อย
กว่าจะถึง Pangong ก็เย็นพอดี แล้วหาที่พักไม่เจอ ต้องขับรถวนหาไปมา
ถามทางกันยกใหญ่กว่าจะเจอ แถมทางไปที่พัก
ตั้งอยู่บนเนินเขา ค่อนข้างไกลจากตัวทะเลสาบพอสมควร
คิดว่าถ้าเดินลงทะเลสาบ แล้วต้องเดินขึ้น คงต้องมีหอบกันยกใหญ่แน่
แล้วที่พักดูเงียบมากผิดปกติ ... แถมประตูก็ปิด ซะมิดชิดเชียว
เลยให้พี่หมูทุบเปิดกระจก ถามคนแถวนั้นอีกที
คุยกันสักพัก สรุปพี่หมูทุบหันมาบอกว่า โรงแรมปิดกิจการแล้ว ... เพราะเจ้าของที่พักตายแล้ววววว !!!!
..
..
อ้าวววว...ชิบแล้วเด่ะ !!! พวกกรูจะนอนที่ไหน
เพราะ รร. ส่วนใหญ่ที่ Pangong ตอนนี้จะปิดหน้าหนาว ... เนื่องจากไม่มีคนมาเที่ยว
เจอพี่หมูทุบเล่นซะแล้ว ไหนบอกจองแล้วไม่มีปัญหา
เมื่อวานแล้วมีคุยทับอีกด้วย ที่พัก วิว Very Beautiful !!! ฮ่าฮ่าฮ่า
แล้วที่บอกจองมาให้แล้ว คือ อะร๊ายยย ... ก่อนที่พวกเราจะเหวอมากไปกว่านี้
..
..
พี่หมูทุบบอก No problem เดี๊ยวพาไปหาที่ใหม่ ... เเกไม่ยอมเปิดช่วงให้พวกเรางงต่อ
รีบแก้เกมส์ มือสาวพวงมาลัยหักเลี้ยว ขับรถลงมาจากเนินพิศวงลงมาด้านล่างติดทะเลสาบ
มาเจอที่พักนึงที่เปิดอยู่ พี่หมูทุบรีบลงจากรถไปเจรจายกใหญ่
..
..
ตอนเเรกเจ้าของที่พักทำท่าเหมือนไม่อยากรับ อาจจะใกล้ปิดหนีหนาวแล้ว
เสบียงอาหารที่มี ก็อาจไม่พอทำมือค่ำ และมื้อเช้า ให้พวกเราทั้ง 9 คนกินพอ
เเต่พี่หมูทุบคงบอก รับ ๆ ไปเหอะ ... พวกนี้ไม่เรื่องมาก กินเเค่ข้าวกับไข่เจียวก็อยู่ได้สบาย
(ดันนี้มโนเอาเอง เพราะเห็นคุยกันนานพักใหญ่ ฮ่าฮ่าฮ่า)
..
..
สรุปเจรจาไปมาเจ้าของที่พัก ก็ตกลงให้เราเข้าพักได้ ก็รอดกันไปอีกคืน
แม้เสียรังวัดไปเล็กน้อย เเต่พี่หมูทุบเเก้สถานการณ์ พลิกเกมส์กลับมาได้เร็วพอตัว
เข้าที่พักเก็บของเข้าห้อง แล้วกินข้าวตามสูตร
..
..
ที่ Pangong แม้หนาวไม่เท่า Tso Moriri เเต่เทียบที่อื่นใน Leh ก็ต้องยังถือว่าหนาวมาก
แล้วลมก็พัดแรงตลอดด้วย พวกเราต้องรวมตัวนั่งกินข้าวในห้องที่มี Heater เเบบเผาฟืนให้ความอุ่น
กินเสร็จออกมาดูดาวบนฟ้าอลังการกว่าที่ Nubra อีก
เเต่ทนถ่ายรูปได้เเค่สักพักก็ขอยอมแพ้ เพราะหนาวสั่นทนไม่ไหว แยกย้ายกันไปนอนเอาเเรงดีกว่า : P
Join me to the LEH # Day 8
ตื่นเช้ามาออกไปถ่ายรูป Pangong Lake ... อากาศก็หนาวไม่ใช่เล่น แต่ก็เอาต้องทนให้ไหว
อุตสาห์มาซะไกล ยังไงต้องเอาให้คุ้มซะหน่อย
ถ่ายเสร็จก็เข้าที่พักกินข้าว เจ้าของทอดไข่เจียวได้อร่อยโฮกกกก
เป็นไข่เจียวฟูๆกรอบ ๆ เหมือนที่ไทยเลย กินกับเเป้งนานใส่พวกน้ำพริกตาเเดงเข้าไปรสชาติดีเกินคาด
เข้าไปดูในครัวพี่หมูทุบไปช่วยเค้าทำอาหารอีก สกิลเเกรอบด้านจริง ๆ
..
..
กินเสร็จทีนี้อยากสระผม เพราะหมกไว้จนคันหล่ะ
เเต่ที่พักมีห้องน้ำห้องเดียว กับผู้หญิง 6 คน ในแก๊งค์ ดูแล้วคิวยาวแน่ ๆ
ก็ไม่มีใครอาบกันหรอกเพราะหนาว เเค่ล้างหน้าเเปรงฟันกันเฉยๆ
เเต่ขี้เกียจรอ เลยห้าวไปตักน้ำจากถังใหญ่นอกบ้าน
ซึ่งน้ำก็เย็นเจี๊ยบจนเป็นเกล็ดน้ำเเข็ง มาล้างหน้า สระผม
พอราดน้ำใส่หัวไปตูมเเรกเท่านั้นหล่ะ ... เริ่มได้เรื่อง
เพราะมึนหัวเหมือนใครทุบท้ายทอยปวดร้าวไปหมด
พอเริ่มหายมึนก็รีบสระ แล้วรีบราดน้ำล้างเเชมพูออก
..
..
ยิ่งราดน้ำ ยิ่งปวดหัวตุ๊บสุด ๆ อยู่นอกบ้านด้วยมั๊ง เลยยิ่งหนาว
ระหว่างกำลังเช็ดหัวให้เเห้ง ทำไมรู้สึกจมูกอุ่นๆ เอามือปาดดู
ปรากฎเลือดกำเดาทะลัก ตอนนั้นคิดไม่น่าห้าวเลย กรูจะเอาชีวิตมาจบที่เนี่ยะไหม
รีบเช็ดแล้วเดินเข้าไปในบ้านนั่งผิงไฟให้อุ่น
จับๆจมูกดูเลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว หืมมมม รอดตายหล่ะ ดังนั้นใครมาอย่าห้าวทำตาม
..
..
เก็บของเสร็จออกจากที่พัก พี่หมูทุบก็ไปถ่ายรูป Pangong Lake จากจุดอื่นต่อ
สีน้ำที่ทะเลสาบ Pangong พอเจอแสงจะสะท้อนเป็นฟ้าบ้าง เขียวบ้างสวยมาก
แล้วน้ำโคตรใสฮ่ะ ... ถ้าจะเอาอะไรที่ใสกว่านี้ แนะนำให้เดินเล่นบนกระจกนะฮ่ะ : P
ก็ถ่ายรูปกันเข้าไป นักท่องเทียวกลุ่มอื่นไม่มีอีกแล้ว มีแต่พวกเรา
พี่หมูทุบคงดูหล่ะ พวกนี้ไม่หยุดแน่ ๆ ก็เลย ต้องกวักมือ เรียกมาขึ้นรถให้ออกเดินทางต่อ
พอออกจากทะเลสาบกลับเมือง Leh มาเเป๊ปเดียว พี่หมูทุบหยุดรถชี้ให้ดูฝูงกวางภูเขาอยู่อีกฟากนู้น
..
..
เลยลำบากพี่หมูทุบต้องโชว์ความเมพอีกรอบ ... ตะโกนฮู้วววว !!!
ผลคือกวางทั้งฝูงหันหน้าขวับมาทางพวกเรา ให้ถ่ายรูปกันได้ พอถ่ายกันเสร็จ
เเกก็ตะโกนอีกที ... ฮ้ากกกกก !!! ฝูงกวางก็ควบหน้าตั้งวิ่งขึ้นภูเขาไป
..
..
เชรดดดดด ... พี่จะเทพไปไหนเรียกกวางก็ได้ ไล่กวางก็ยังได้ด้วย
ทำยังกะมีคาถาพระสังข์ ... เรียกปลา เรียกเนี้อได้ สกิลเเกเเพรวพราวจริง ๆ
..
..
มุ่งรถออกมาจาก Pangong มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง ... พี่หมูมีสกิลใหม่มาโชว์อย่างต่อเนื่อง
เรียกกวางยังอึ้งกันไม่พอใช่ไหม เจอคาถาเรียกคน
คือระหว่างกลับเมือง ใครจะโบกรถ จะเด็ก จะหนุ่ม จะแก่ มาเลยยย !!! พี่หมูทุบจอดรับหมด
..
..
คนแรก เป็น "เด็กตัวน้อย" อันนี้อึ้งมาก โผล่เดินข้างทางในหุบเขาที่ Pangong คนเดียว
แล้วเด็กตัวเล็กมากสัก 4-5 ขวบ พวกเรางงมาเดินทำไรตรงนั้น
พี่หมูทุบจอดคุยแล้วหันมาถามพวกเราโอเคไหม ... ขอให้เด็กติดรถไปลงหมู่บ้านข้างหน้า
พวกเราก็โอเครับขึ้นมา คือ จุดรับกะจุดลงคิดว่าใกล้
แต่จริง ๆ มันไกลมากพอสมควร สำหรับเด็กตัวนิดเดียว
ถ้าไม่มีรถผ่านมาเค้าก็ต้องเดิน มันคงไม่มีทางเลือกสำหรับเค้า
เกิดมาก็ต้องช่วยทำงาน เเบ่งเบาภาระครอบครัวเลย ... ก่อนลงรถก็เเจกขนมให้ไปอีกกำมือใหญ่
..
..
กำลังทำโหมดซาบซึ้งกับน้องคนนั้นไม่ทันหาย พอเข้าเขตบ้านคน มีด่านตรวจ
มีชายหนุ่มมาโบกรถต่อ คนนี้บอกจะไป Leh พี่หมูทุบบอกขึ้นมาโลดดด
เฮ้ยขอติดรถไกลไปไหมพี่ จาก Pangong จะไป Leh
..
..
เเต่ช้าไปหล่ะ พี่หมูทุบจัดให้ หนุ่มโบกรถ มานั่งยิ้มอยู่เบาะข้าง ๆ พวกเราแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
พี่หมูทุบก็ขับรถกระเตงพาพวกเราไปเรื่อย มุ่งหน้ากลับตัวเมือง Leh
ขากลับจาก Pangong Lake พี่หมูทุบพากลับทางเส้นทาง Chang La Pass ที่ความสูง 5,360 เมตร
ซึ่งเป็นถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลก ด้านบนมีหิมะปกคลุมทั่ว
เพราะเรามีประสบการณ์เกือบเจอแช่เเข็งที่ Khardung La Pass แล้ว
รอบนี้เลยเตรียมพร้อม ชุดกันหนาวเต็มอัตราศึก พอถึงที่ Chang La Pass ก็รีบวิ่งลงไปถ่ายรูป
..
..
เรารู้ ถ้าขืนช้ามีเเข็งอีกแน่ ๆ จังหวะลงรถไปช่วงเเรกคิดว่ายังเอาอยู่
สักพักเข้าอีหร๊อบเดิมไม่รอด เริ่มจากมือบวมชา กดปุ่มซัตเตอร์กล้องไม่ได้
ตามด้วยน้ำมูกไหลไม่หยุด และตามด้วยเท้าชาอีกเช่นเคย
จนสุดท้ายยอมยกธงขาวทัพแก๊งค์ชาวไทยเเตกพ่ายอีกเช่นเคย ... รีบหนีหนาวขึ้นรถกันตามระเบียบ
ส่วนพี่หมูทุบใส่เสื้อไหมพรมตัวเดียวยืนรอข้างรถเเบบไม่สะท้านความหนาว
เพื่อรอนับสมาชิกให้ครบทุกคน ก่อนออกรถพาพวกเรา ขับไต่ภูเขากันอีกครั้ง
ยัง ๆ เรื่องก่อนเข้าถึงตัวเมือง Leh ยังไม่จบ ... ระหว่างทางเจอวัดข้างทาง ชื่อไรไม่รู้
วิวอลังการสร้างบนภูเขา ... ก็เลยขอพี่หมูทุบ หยุดจอดถ่ายรูปกันแป๊ปนึง
อยู่ ๆ ก็เจอป้าชาวลาดักส์กี้สองคน เดินออกมาจากหมู่บ้าน
มาถึงถนนใหญ่เจอรถพวกเราจอดอยู่ใช่ไหม ... พวกป้าตะโกนส่งเสียงคุยกับพี่หมูทุบสักพัก
ดั่งต้องมนต์ ป้าชาวลาดักส์กี้สองคน ก็มานั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆ บนรถกับพวกเราแล้ว
..
..
สรุปคือตอนนี้รถพวกเราเป็น บขส. ไปแล้วใช่ไหมเนี่ยะ ฮ่าฮ่าฮ่า
พี่ในเเก๊งค์บอกสงสัยเฮียหมูทุบ จะรับจ๊อบขับ Uber ที่ Leh ด้วย
คอยส่งสัญญาณพิกัดรถ และเส้นทางที่จะผ่าน
เพื่อให้คนตามหมู่บ้านออกมารอ ... แล้วพี่หมูทุบเป็นคนใจกว้าง รับขึ้นหมด ฮ่าฮ่าฮ่า
..
..
เเต่เข้าใจนะ เพราะตัวเราเองเคยหลงใน Leh กับกรุ๊ปใหญ่ไปที
ก็อาศัยโบกรถชาวบ้าน เค้าก็รับแม้จะคุยกันไม่รู้เรื่อง
เเต่มีน้ำใจ ขับพาเราวนหากรุ๊ปใหญ่จนเจอ ... ห้าวเองจนหลง เกือบได้เรื่องอีกแล้ว - -"
คงเป็นเรื่องปกติของคนที่เนี่ยะ ระยะทางระหว่างเมืองไกลมาก
ใครขับรถผ่านเจอคนโบกถ้าไม่เหลือบ่ากว่าเเรงก็มีน้ำใจรับๆ กันไป : )
..
..
แล้วที่สุดก็ถึงตัวเมือง Leh ซะที หลังจากออกไปนอกเมืองมาซะหลายวัน
แล้วสิ่งเเรกที่พี่น้องชาวไทยทั้ง 9 คน พร้อมใจกันทำ
คือ รีบพุ่งไปร้านอาหาร เพราะหิวโซนอกเมืองมาสามวันเต็ม
ต่างคนต่างจิ้มเมนู สั่งกันกระหน่ำมาก กะกินให้ล้มละลายในมื้อนี้ทีเดียว
เเต่เหมือนรัฐบาลอินเดียรู้ทัน เลยสั่งคุมราคาอาหารในเมือง Leh ไว้
แม้สั่งกินจนจุกแน่นไง พอหารต่อคนก็ไม่เกินคนละประมาณ 150 - 200 บาท/มื้อ ค่าครองชีพจะถูกไปเนี่ยะ
ปล. ตัดฉากสลับมาที่ร้านอาหารมื้อเย็น วันนี้ค้นพบร้านใหม่ ชื่อ Summer Harvest
รสชาติออกจีนๆ อร่อยมาก ส่งกันไม่ยั้ง เเต่หารตกคนละ 150 บาท เช่นเดิม : P
Join me to the LEH # Day 9
วันนี้เป็นวันเก็บตกจากที่รถเสียไปวันเเรก เลยให้พี่หมูทุบ
พาเก็บตกที่ Magnetic Hill กับอีกสองวัดคือ Likir Monastry และ Alchi Monastry
โดยจุดแรกที่แวะ ก็คือ Magnetic Hill ก็แวะถ่ายรูปกันสนุกสนานอีกตามเคย
ในภาพคือ วัด Likir Monastry ระหว่างทางกลับ เจอลุงขอโบกรถอีกรอบ
และเช่นเคย พี่หมูทุบ จัดให้โบกมือให้ขึ้นมาโลดดด ฮ่าฮ่าอ่า
วัด Alchi Monastry เป็นวัดเก่า ในตัววิหารมีภาพวาดอยู่
แต่เค้าห้ามถ่ายรูปข้างใน ให้ดูได้ด้วยตาอย่างเดียว
เราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา ... ได้แต่ไปถ่ายรูปเล่นหลังวัด กับหมู่บ้านรอบ ๆ วัด แทน ก็สวยไปอีกแบบ
แล้ววันนี่เป็นวันสุดท้ายที่จะเจอพี่หมูทุบแล้ว ยิ่งอยู่กันนานพี่หมูทุบยิ่งฮา
มุขเเพรวพราวขึ้นเรื่อยๆ เเต่วันนี้มาทำซึ้ง บอก Big photo for last day
ประมาณ วันสุดท้ายแล้วมาถ่ายภาพกันให้เยอะนะ
..
..
เพราะเวลาถ่ายรูปหมู่ พวกเราก็จะเรียกพี่หมูทุบมาถ่ายด้วยทุกที
พอพี่หมูทุบพูดอย่างนี้ ก็เเอบมีใจเเป๋วเหมือนกัน
..
..
ก็ยังคุยกันไม่รู้โชคร้าย หรือโชคดี เพราะถ้ารถไม่เสียวันเเรก
พวกเราคงไม่ได้เปลี่ยนคนขับมาเป็นพี่หมูทุบ ทริปอาจไม่ฮาเท่านี้
วันนี้เช่นเคยพี่หมูทุบบริการดีจนหยดสุดท้าย พอทริปหมดครึ่งวัน
ก็พี่หมูทุบก็พามาซื้อของฝากที่คลาดกลางเมือง
ซื้อของเสร็จ พี่หมูทุบก็พากลับโรงแรม ... พร้อมบอกพรุ่งนี้เช้า จะมารับกรุ๊ปใหญ่กลับสนามบิน
ส่วนเราก็ต้องแยกจากกรุ๊ปใหญ่ อยู่ต่อเองต่างหากอีกสามสี่วัน
Join me to the LEH # Day 10 & 11
วันนี้พี่หมูทุบแวะมารับกรุ๊ปใหญ่ไปส่งสนามบินแต่เช้า
ก็ถึงเวลาที่เราต้องร่ำลาพี่หมูทุบ กับกรุ๊ปใหญ่ก่อน ... ส่วนเรายังขอซ่าส์เที่ยวเองต่ออีกหน่อย
ก็เดินหาร้านเช่ามอไซด์เเต่เช้า เเต่ปิดหนีหนาวหมดทุกเจ้าเลย
มาเจอร้านเปิดในซอกดีใจมาก นึกว่าแย่ต้องหาอูฐขี่แทนแล้ว
ค่าเช่ามอไซด์กระป๋องแบบออโต้ไม่เเพง ตกวันละ 300 บาท
เติมน้ำมันอีก 50 บาท ขี่ร่อนได้เกือบทั้งวัน ก็มั่วไปเรื่อย เพราะไม่รู้ทางด้วย
..
..
จริงก็อยากขับคันใหญ่ ๆ อย่าง Royal Enfield เท่ห์ ๆ นะ
แต่อยู่ไทยมอไซด์ ไม่เคยขับ เลยขอเลือกเป็น
รถมอไซด์กระป๋อง Suzuki Switch เกียร์ออโต้แทนแล้วกัน
แล้วเครื่องพลังเทอร์โบขอเจ้ามอไซด์กระป๋อง บวกใจคนขับก็แรงมาก
ทำ Max Speed สองสุดสองวันอยู่ที่ 40 กิโล/ชั่วโมง เรียกว่าขับอย่างนี้เต่ายังเเซง ฮ่าฮ่าฮ่า
..
..
เเต่ขับช้าดีแล้ว เพราะไม่คุ้นกับจังหวะเเซงข้ามเลนของพี่อินเดีย
ประมาณถนนสองเลน เเต่พี่ชอบเเซงกระชั้น แล้วมาเบียดเลนเรา
ต้องคอยหักหลบจะตกขอบถนนเอา ที่พีคสุด คือ ถนนมีเกาะกลางแบ่งชัดแล้ว
พี่เเกข้ามเกาะมาจากไหนไม่รู้ ขับสวนเลนพุ่งตรงเเน่วมาเลย
เป็นอะไรที่อเมซิ่งมากกกก ขับมอไซด์ที่อินเดียเนี่ยะ
..
..
ส่วนแผนเที่ยวสองวันนี้ คือ วางแผนได้ดีมาก ... ใช้หลักการมีแผน คือ ไม่แผน ฮ่าฮ่าฮ่า !!!
ออกเเนวแวนซ์ไปทั่ว ... ซ่อมที่ไปมาวนรอบ ๆ เมือง ประมาณไปแล้วสวย ก็อยากไปซ้ำอีก
หรือบางที่ก็เป็นที่ใหม่ เรียกว่ามีใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน ก็เเวะได้ตลอดไม่มีเบื่อ
เเวนซ์เช้ายังเย็น เหนื่อยเเต่ก็สนุกดี ก็แนวขับชิว ๆ ไปเรื่อย
เจอที่ไหนชอบก็แวะจอดถ่ายรูป บางที่ก็ไม่รู้จุดไหน
ดังนั้นสองวันนี้ขอเล่าด้วยภาพแทนแล้วกัน : P
Join me to the LEH # Day 12
หลังจากแวนซ์มาสองวันเต็ม วันนี้โปรเเกรม คือ เดินเล่นในตัวเมืองชิลชิล
อยากพักร่างเตรียมพร้อมรบวันพรุ่งนี้ เพราะต้องเผชิญโคตรออริจินัลอินเดียของเเท้ที่กรุงนิวเดลี
วันนี้เลยสบาย ๆ เดินถ่ายรูปเล่นที่ตลาด พร้อมช้อปปิ้งกระจายเงินรูปีสู่ชุมชน
เสื้อหนาวมีทั้งของก๊อป และของเเท้ (มั๊ง) ราคาถูกมากน่าสอยจริง ต้องพยายามหักห้ามใจตลอดเวลา
ส่วนของกินก็พยายามดูๆ อะไรที่เเพ็คเกจดูดี ค่อยกล้าลอง กลัวขี้เเตกที่ Leh คงไม่สนุกเท่าไร
มา Leh ก็ต้องซื้อ Lay's ซิ งั๊นเดี๊ยวเค้าว่ามาไม่ถึงLeh (ไม่น่าเกี่ยว ฮ่าฮ่าฮ่า)
มีทั้งรส West Indies กับ India's Magic Masala ซื้อมาเเค่จับซอง
ยังไม่ต้องฉีก สัมผัสได้ถึงกลิ่นต้นตำรับฉุนขึ้นจมูกเลยทีเดียว : P
เเละสินค้ายอดฮิตอีกอย่างของ Leh หาได้ทั่วไปเลย คือ ธงมนตราห้าสี
มีไซส์ให้เลือกหลากหลาย ตั้งเเต่เล็ก กลาง ใหญ่ ก็แล้วแต่ว่าใครจะไปใช้ติดกับอะไร
โดยเชื่อว่า ทุกครั้งที่ลมพัดธงมนตรสะบัด ก็เหมือนเราได้สวดมนต์ไปนึงครั้ง
และบทสวดมนต์จะลอยไปตามกระแสลม ทำให้สิ่งดีๆ แผ่กระจายไปทุกทิศทาง : )
Join me to the LEH # Day 13 & 14
เช้าวันสุดท้ายที่ Leh แล้ว หลังเก็บของเสร็จคุณลุงพนักงานอารมณ์ดีประจำที่พัก
ก็มาส่งเราที่สนามบิน ระหว่างนั่งหนาวรอขึ้นเครื่อง
ก็คิดย้อนเรื่องราวสิบกว่าวันที่ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่ Leh ชั่วคราว
ทำไมถึงชอบเมืองนี้ ... ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เจ้าบ้านชาวลาดักส์กี้อัธยาศัยน่ารักมาก
แล้วค่าครองชีพที่นี่ถูกเวอร์ เมื่อเเลกกับวิวอลังการ
เหมือนหลุดเดินย่ำบนโลกพระจันทร์ ก็ไม่เเปลกใจ ทำไมช่วงนี้ไปไหนใน Leh ถึงเจอคนไทยแทบทุกวัน
ก็ร่ำลา Leh ด้วยวิวภูเขาทอดยาว ที่มองจากบนเครื่องบิน พร้อมเหินฟ้าเดินทางสู่กรุงเดลี
ถ้าเปรียบ Leh เป็นหนังโทนฟิลลิ่งกู๊ด ดูได้ทั้งครอบครัว
พอผู้กำกับสั่งคัท ตัดฉากมากรุงเดลีเนี่ยะ ... กลายเป็นหนังเเอ๊คชั่นบู๊ล้างผลาญ ปาระเบิดเผากระท่อมสุดๆ
..
..
ถามว่าเเพลนเที่ยวกรุงเดลีเป็นยังไง ... ก็ไม่รู้
การบ้านหาข้อมูลเตรียมไรมาไหม ... ก็ไม่เตรียม
ว่าจะต่อฟรีเนทสนามบินเดลีเช็คดู ... ก็ไม่มีเนทอีก
ไฟท์จาก Leh ถึงเดลี ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า เเต่ต้องรอขึ้นเครื่องกลับไทยเที่ยงคืนนู้น
แล้วครึ่งวันที่เหลือทำไง ก็มั่วล้วน ๆ ... ถามพี่คนไทยที่เจอบนเครื่องจาก Leh บ้าง
เช็คข้อมูลที่เคาน์เตอร์สนามบินบ้าง ... สรุปได้ที่เที่ยวที่จะไปสองที่
คือ Humayun's Tomb กับ Swaminarayan Akshardham
..
..
ก็จัดแจงเอากระเป๋าสัมภาระไปทิ้งที่เคานต์เตอร์รับฝากที่สนามบินก่อน
แล้วจะไป Humayun's Tomb กับ Swaminarayan Akshardham ยังไงหล่ะ
ก็กาง City Map ดูว่ารถไฟฟ้า Metro ลงสถานีไหน
ทั้งสองที่ค่อนข้างใกล้กับสถานีให้บริการ Metro ของกรุงเดลี เห็นว่าน่าจะพอได้
เลยเลือกใช้บริการ Metro ดีกว่า ... แล้วทริปครึ่งวันตะลุยเดลี ก็เริ่มขึ้น !!!
..
..
ราวๆ ครึ่งวันช่วงรอต่อเครื่อง ที่ตัดสินใจเข้าไปหาความระทึกขวัญในกรุงเดลี
ก็เป็น 12 ชั่วโมง ของประสบการณ์ที่เค้นอารมณ์ให้ต่อมอะดรีนาลีน ได้ทำงานตลอดเวลา
..
..
เริ่มประทับใจกรุงเดลี ตั้งเเต่บัตร Metro เข้าเมือง มีรูปมาสค็อตเป็นเด็กผู้หญิงตัวการ์ตูน
เเต่งตัวเหมือนชุดยุวกาชาด ยืนสวัสดี นมัสเตพร้อมยิ้มมุมปากแบบมีเลศนัย
เห็นแล้วชวนหลอนให้ระวังตัวสุด ๆ (ประมาณกรูเตือนมรึงแล้วน๊าา)
พอขบวนรถไฟมาถึง สภาพโบกี้ใหม่กว่าที่คิด สายเข้าเมืองคนไม่เยอะด้วย
ก็เข้าตู้รถไฟพร้อมหย่อนก้นนั่งที่เก้าอี้ เริ่มรู้สึกผ่อนคลายความกังวล
เรื่องความอินดี้ของ Metro อินเดียที่มีหลายคนเตือนมาไปได้เยอะ ... อืมมม ก็ไม่เเย่เหมือนที่เจอขู่มานิ
นั่งไปสักพักขยับตัว ... เอ๊ะทำไมมันหนึบๆ ที่ก้น ลองลุกจากเก้าอี้ดู
เจอหมากฝรั่งยืดเหนียวติดคากางเกงตัวเอง
คือ ประมาณพี่บังเเกเคี้ยวมากฝรั่งเสร็จ ไม่รู้ทิ้งไหนก็คายมาเเปะคาเก้าอี้
ให้ติดก้นคนอื่นเล่นแล้วกันสนุกดี เรียกว่าเผลอการ์ดตกเเป๊ปเดียว เจอหมัดฮุกทันทีดอกเเรก - -"
..
..
เส้นรถไฟสาย Airport Express ที่เป็นขบวนวิ่งระหว่างสนามบินกับตัวเมืองเดลี ผู้โดยสารเลยน้อย
ดังนั้นแล้วก็นับเป็นเส้นทางที่เบบี๋ที่สุด ... เเต่ยังไม่วายโดนรับน้อง
ด้วยการนั่งทับหมากฝรั่งที่บังเเกถุยทิ้งบนเก้าอี้
..
..
พอเปลี่ยนขบวนไปใช้ สายที่บริการในเมืองเท่านั้นหล่ะ
นรกของจริงเริ่มมาเยือนแล้ว คนเยอะเดินสับสนเหมือนผึ้งเเตกรัง
เเล้วความเป็นระเบียบที่ไม่รู้หาได้จากที่ไหน เสียงตะโกนโวยวายกันดังลั่น
..
..
ความสนุกจะทวีคูณขึ้น ถ้าตังค์ในบัตร Metro หมด แล้วต้องต่อคิวเติมเงิน
คือ คิวอ่ะมี เเต่ขยับไปข้างหน้าช้ามาก เพราะพี่บังเเกเดินมาเเซงตัดหน้ากันตลอด
ต่อเเถวเข้าคิว คืออะไร อีเนี่ยะชั้นไม่รู้นะจ๋าาานาย !!!
..
..
สรุปเข้าเมืองบัง ก็ต้องพลิ้วตามพี่เค้า ถ้าให้รีเพลย์ภาพสโลว์โมชั่น จะเห็นการชิงเหลี่ยมอย่างดุเดือด
" บังจะเนียนเเทรกเข้าเเถว เท้าเราต้องเร็ว ห้ามทิ้งช่องว่างจากคนหน้า "
" เนียนไม่ได้ พี่เค้าจะใช้กำลังเบียด เราต้องชิงใช้ไหล่เข้าปะทะ ดันตัวพี่บังไว้ ไม่ให้กระชับพื้นที่เข้ามาใกล้ "
" พอใช้กำลังไม่ไหว บังจะเปลี่ยนเป็นสายคลาสิค โชว์พลิ้วมุดเข้าแถว "
" เราต้องยกเเขนบล็อคกันทางไว้ ไม่ให้พี่บังหลุดคลุกเข้าวงใน "
กว่าจะเติมเงินเข้าบัตรโดยสารได้ที เรียกว่าโคตรเหนื่อย
แนะถ้าเจอสถานีไหนคนน้อย รีบเช็คจำนวนคงเหลือ แล้วเติมเงินให้พอก่อนเลย
จะได้ไม่ต้องมาชิงไหวชิงพริบกับพี่บังเเบบนี้ - -"
..
..
ก็นั่งจนมาถึงสถานีที่คิดว่าใกล้ที่สุด แล้วไปต่ออีกด่าน คือ
นั่ง Auto Rickshaw หรือตุ๊กตุ๊ก สามล้อเขียวเหลือง ของอินเดียจาก Metro ไปต่อ
..
..
เพราะระหว่างทางไปจุดหมายที่ Metro เข้าไม่ถึง ก็ต้องพึ่ง Auto Rickshaw
ซึ่งเป็นอีกนึงความระทึกของเดลี ที่อยากให้ลอง
เหมือนนั่งลีมูซีนหรู เปิดกระจกข้างรับลมโชย สูดโอโซนควันบริสุทธิ์ช่วงรถติด ... อืมม ชื่นใจ
..
..
ช่วงเจรจาราคา พี่อาบังจะเปิดมาสูงเวอร์
พร้อมมีเเพ๊คเกจเสริมต่างๆ เช่น พาเเวะช้อปปิ้งฟรี
จริงๆ มุขคล้ายพี่ตุ๊กตุ๊กไทยบ้านเรา (ที่กวนไม่เเพ้กัน)
เเต่พี่บังตุ๊กตุ๊กอินเดีย เด็ดขาดกว่า คือ พอจะเดินหนี พี่บังจะรีบง้อ ยอมประเคนทุกอย่างที่เราพอใจ
พร้อมรับปากพาไปส่งที่หมายเลย ไม่เเวะที่อื่น พอหลวมตัวขึ้นรถ ขับได้ไม่เกินสองเสาไฟฟ้า
พี่บังเสนอขายเเพ็คเกจเสริม เเบบเดิมวนซ้ำใหม่ คือขอให้เหยื่ออยู่ก่อนเหอะ ยังมีโอกาสขายสินค้าต่อ
" ไปช้อปปิ้งไหมนายจ๋าาา พาไปฟรี "
" เหมารถช้านไปที่อื่นต่อเลยไหม ถ้าไปที่ต่อ Metro มันอ้อมไกลมาก "
..
..
เราก็ยืนยันคำเดิม ลงจุดหมายเดิมเท่านั้น พอใกล้ถึงที่
พี่บังเห็นลูกค้ากำลังจากไปแล้ว แล้วลูกค้าน่าสงสารเงินน้อยด้วย
พี่บังเลยลดราคาเเพ็กเกจเเพล็ตตินั่ม จากเปิด 250 รูปี เหลือ 150 รูปี
..
..
เรายังส่ายหัวจะลงที่เนี่ยะเท่านั้น ... พี่บังบอกพิเศษสุดๆ เหลือ 100 รูปี เลยเอาเด่ะ
ความพยายามขายสูงมาก จุดนี้ขอชื่นชม เเต่เราก็ไม่กล้าเสี่ยงไปต่อกับพี่บัง
สู้ไปเบียดดมกลิ่นรวมมิตรเครื่องเทศใน Metro ดีกว่า ขืนหลวมตัวไปกับพี่บังต่อ
จะเจอจับไปเเวะไหนบ้างไม่รู้ ถล่มลดราคาขนาดนี้ ต้องมีถอนทุนคืนแน่นอน - -"
.
แล้วในที่สุดมาถึง Humayun's Tomb จนได้นั่นหล่ะ ... ต้องเสียค่าเข้า ต่างชาติเจอคิด 500 รูปี (250 บาท)
เเต่ช้าก่อน Passport ไทย ... ได้รับสิทธิ์พิเศษจ่ายเเค่ 30 รูปี
ซึ่งเป็นเรทเดียว กับคนอินเดียเลยนะนายจ๋าาา เห็น 30 รูปี รีบพุ่งจ่ายค่าตั๋ว แล้วรีบเข้าเลย ฮ่าฮ่าฮ่า
ดังนั้นเที่ยวอินเดีย ถ้าเจอเก็บค่าธรรมเนียม ก่อนจ่ายอ่านข้อมูลดี ๆ
เพราะ Passport ไทยเรา ลดค่าธรรมเนียมได้เยอะเลย หลายที่ด้วยนะ
..
..
ว่าด้วยสถานที่แรกที่ได้แวะในกรุงเดลี คือ Humayun's Tomb
เป็นหลุมฝังศพของผู้ปกครองราชวงศ์ชาวโมกุล ซึ่งลักษณะคล้าย ทัชมาฮาลขนาดย่อส่วน
ปัจจุบันยูเนสโก้ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว
อยู่ข้างในอาณาบริเวณค่อนขว้างกว้าง ก็เดินเล่นกันสักพักใหญ่ ๆ ได้
พอออกจาก Humayun's Tomb เย็นแล้ว ก็ไปต่อที่วัด Swaminarayan Akshardham
ซึ่งเป็นวัดฮินดูที่ให้เข้าชมฟรี รถไฟฟ้า Metro ไปถึงด้วย ... เดินต่อนิดเดียวเอง
..
..
Swaminarayan Akshardham เป็นวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้เป็นวัดสร้างใหม่ เมื่อปี 2005
เเต่เป็นเทคโนโลยีเเบบเก่า ไม่ใช้โครงสร้างที่เป็นโลหะ
คือภายนอกเป็นหินทรายเเดง ภายในวิหารเป็นหินอ่อนขาวเเกะสลักด้วยฝืมือคนล้วนๆ
เค้าบอกวัดนี้สร้างด้วยความศรัทธา จึงระดมช่างฝีมือจากทั่วสารทิศเกือบหมื่นคน
เร่งก่อสร้างทั้งวันทั้งคืน เลยย่นเวลาจาก 40 ปี มาเหลือเเค่ 5 ปีก็เสร็จสมบูรณ์
ซึ่งถ้าจะไป แนะช่วงเย็นคนจะน้อย เห็นบอกไปตอนกลางวันรอคิวเข้านานเป็นชั่วโมงๆ
เราไปช่วงเย็นก่อนปิดสักชั่วโมง คิวน้อยเข้าได้เลยไม่ต้องต่อแถวรอนาน
..
..
เสียดายวัดนี้เเม้ให้เข้าชมฟรี เเต่ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มมาก
ห้ามเอาโทรศัพท์ กล้องใดๆเข้าเด็ดขาด ต้องเก็บในที่รับฝากเท่านั้น
เลยดูด้วยตาเปล่า ไม่มีรูปถ่ายมาให้ชมกัน เเต่รับรองอลังการงานสร้างไม่ผิดหวังเเน่
ต้องขออนุญาตเอารูปจากเวบทางการ www.akshardham.com ที่หาเจอในกูลเกิ้ลมาให้ดูแทนแล้วกัน
ที่มา http://akshardham.com/download/photo-galleries/moo...
ที่มา : http://akshardham.com/download/photo-galleries/moo...
ชมวัดนี้เสร็จก็มืดพอดี เลยนั่ง Metro กลับไปสนามบิน
จริง ๆ เวลาเที่ยวก็มีต่อ เพราะเครื่องออกเที่ยงคืน แต่หมดแรงแล้ว
เลยนั่งรถ Metro ตรงไปสนามบินเลยดีกว่า
แนะว่าเวลาให้เผื่อเวลาเดินทางกลับสนามบินมากหน่อย
เพราะ Metro บางช่วงคนจะพีคแน่นมาก ๆ ๆ ต้องรอสองสามขบวนจึงขึ้นได้ เพราะคนล้นออกนอกตู้
แล้วยังมีตรวจสแกนกระเป๋าทั้งที่ Metro และที่สนามบิน ถ้าคนเยอะ ก็ คิวยาวเป็นหางว่าว
ถ้าไม่อยากวิ่งขึ้นเครื่องให้ลุ้นระทึก ก็เผื่อเวลาให้เยอะ ๆ เดินทางไปสนามบินจะได้ไม่ต้องรีบมาก
ถึงสนามบินก็นั่งรอ หรือไม่ก็เดินช้อปปิ้งก็ได้ สนามบินที่กรุงเดลีใหญ่อยุ่
ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกอะไรก็มีให้เลือกช้อป เลือกเดินชมแก้เบื่อได้อยู่
พอได้เวลาเที่ยงคืน ก็ได้ขึ้นเครื่องกลับบ้านซะที
หย่อนก้นนั่งเก้าอี้เสร็จ ก็ป๊อกหลับยาวเลย เพราะเพลียจัด ... ตื่นอีกทีก็ถึงกรุงเทพฯ ตอนเช้าแล้ว
สรุปทริปนี้ 14 วัน กับงบรวมทุกอย่างแล้ว หมดไปประมาณ 25,000 บาท
ค่าตั๋วเครื่องบิน 16,000 บาท + ค่าโรงแรม ค่ารถ ค่าอาหาร อีกประมาณ 9,000 บาท
ก็เป็นอันว่าจบกันไปอีกทริป ... กับโคตรมหากาพย์ 14 วันนมัสเต Leh อินเดีย
เจอกันใหม่ทริปหน้า ที่ไหนไม่รู้ ... ถ้าเงินพร้อม เวลามี ก็คงได้เจอกันอีกที : )
ฝากเพจไว้สักหน่อย ถ้าชอบเดินทาง ชอบถ่ายภาพ
แวะไปพูดคุยกันได้ที่ FB: https://www.facebook.com/JoinMe2TheWorld
JoinMe2TheWorld : )
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 13.46 น.