คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^
ในที่สุด!! บล็อคอันดับเจ็ด ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกคนแล้วค่าาา พร้อมเที่ยวกันหรือยังคะ...
ใครที่ยังไม่ได้ไปเที่ยว "Mt.Fuji San" ตามไปเที่ยวกันได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยจ้า ^O^v
>>>>>>>>>> https://th.readme.me/p/9391 <<<<<<<<<
ทริปนี้คะน้าแบคแพค ไป 'ประเทศญี่ปุ่น'
ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา
เริ่มออกเดินทางวันที่ 12
และกลับถึงประเทศไทย วันที่ 20 เมษายนค่ะ
คะน้าแพลนเดินทางไว้ทั้งหมด 5 จังหวัด
และสำหรับบล็อคนี้ คะน้าขอมาเล่าต่อ...เรื่องการเดินทางท่องเที่ยว ณ เมืองในฝันแห่งที่สาม นั่นคือ...
"Kyoto, Uji River"
การเดินทางจากฟูจิซัง ไปเกียวโต ราบรื่นกว่าที่คิด และฟินกว่าในจินตนาการ
คะน้า แอ๋มศรี และเฮียตั้ม จะบันเทิงขนาดไหนกันนะ!
ถ้าพร้อมแล้ว...เลื่อนเม้าส์ตามไปลั๊ลลาพร้อมๆ กันเลย 555555
[ ปล. เนื่องจากตลอดทริป เป็นการเดินเท้าเที่ยวแบคแพค เวลาเดิน
คะน้าจะยกกล้องถ่ายภาพไปพร้อมๆ กับการเดินตลอดเวลาค่ะ
ไม่เว้นแม้แต่ตอนนั่งรถไฟ นั่งรถบัสก็จะถ่ายขณะที่รถวิ่งไปด้วย
(Snapshot นั่นเอง) เพื่อเก็บบรรยากาศในการเดินทาง น้อยครั้งที่จะหยุดยืนถ่ายนิ่งๆ
หากภาพเอียงๆ เบลอๆ ไปบ้าง อย่าถือสาเลย 55555 ]
15 Apr'17
ต่อจากบล็อคที่แล้ว...เดินทางออกจาก "สถานีคาวากูชิโกะ, ภูเขาไฟฟูจิ"
กลับมาถึง "สถานีโตเกียว" เรียบร้อย เวลาประมาณสองทุ่มเศษๆ ค่ะ
เราลงจากรถบัส แล้วเดินกลับไปยังออฟฟิศที่ขายตั๋ว (ออฟฟิศเดิมที่ซื้อตั๋วไปคาวากูชิโกะเลยค่ะ)
เรากำลังอยู่บนถนนเส้นนี้นี่เองงงงง
นี่เรากำลังเดินกลับไปซื้อตั๋วรสบัสนะคะ ไม่ได้เดินเล่นท่องราตรีนะครับแหม่ 5555
เมื่อเดินมาถึง เราก็แจ้งพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า...
"ต้องการซื้อตั๋วรถบัสนอนไปเกียวโตค่ะ"
(การเดินทางจากโตเกียวไปเกียวโตประมาณ 5-7 ชั่วโมงได้ค่ะ เลยต้องนอนไปยาวๆ)
เจ้าหน้าที่ได้ส่งตารางเวลา / วันที่ มาให้เราดู สำหรับวันนี้เที่ยวต่อไปคือ รถรอบ 21:50 น.
เมื่อเราตกลงที่จะเดินทางในเวลา 21:50 น.
เจ้าหน้าที่ให้เราเลือกว่า จะไปราคาไหน ระหว่าง 5,400¥ หรือ 8,800¥
โดยตารางในภาพคือเปรียบเทียบว่าทั้งสองราคา ดีต่างกันอย่างไร?
และเมื่อดูแล้วก็ไม่ต่างกันมาก แค่เบาะใหญ่กว่า และมีผ้าห่ม ประมาณนั้น
เราเลยเลือกราคา 5,400¥ ค่ะ เพราะเรานอนง่าย อยู่ง่าย สายชิล
ได้มาแล้วค่าาาา มีเลขที่นั่งบอกชัดเจน คล้ายๆ ตั๋วในโรงหนัง
ต้องรอขึ้นรถอีกเป็นชั่วโมง เลยนั่งทานดินเนอร์ เป็นมื้อเบนโตะที่ร้านเดิมอีกแล้วเจ้าค่ะ
(ร้านเดิมจากบล็อคที่แล้ว ตอนรอรถไปฟูจิ ที่นั่งทานนานจนตกรถไงคะ 5555)
พอใกล้เวลาที่รถจะออก เราก็เดินมาที่ Gate แล้วเช็คความถูกต้องของเวลากันอีกครั้ง
ขึ้นรถบัสมาแล้วค่ะ นั่งประจำที่ตัวเอง บนรถมีผ้าม่านกั้นระหว่างสองฝั่ง
เบาะนั่งสบายตามมาตรฐาน พิเศษ!! ตรงที่บนรถบัสมีปลั๊กไฟให้ด้วย ตรงหลังเบาะนั่งค่ะ
คว้าที่ชาร์ตแบตมือถือทันใด เสียบเข้าไป เพื่อให้มันแบตเต็มในตอนเช้า ดีจังเลยยยย
รถเริ่มออกแล้วค่ะ ผ่านห้างลูมิเนะ เห็นผู้คนยังคงพลุกพล่าน
และเมื่อรถออกเดินทางมาได้สักพักใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่ก็เดินมาสั่งให้เราปิดผ้าม่านทั้งหมดค่ะ
ตั้งแต่ผ้าม่านกั้นกลางระหว่างสองฝั่ง และผ้าม่านกระจกรถทั้งสองข้างด้วย
ฝรั่งสองคนเบาะหน้าคะน้ามีบ่นว่า..."ทำไมต้องปิดม่านด้วย มันมีความลับอะไรขนาดนั้น?"
ซึ่งเราเข้าใจว่า...ระหว่างทางมีไฟทาง ไฟรถยนต์ หรือแสงเสียงอะไรที่อาจรบกวนการนอนหลับ
เขาเลยออกกฏให้ปิดม่านทั้งหมด (มั้ง) คะ
จนกระทั่งราวๆ เที่ยงคืน รถบัสก็แวะจอดที่ Station ที่ไหนสักแห่ง
เพื่อให้พวกเราแวะเข้าห้องน้ำ และมีซุปเปอร์ฯ ให้ซื้อของได้ด้วยค่ะ
คะน้าก็ลงไปเข้าห้องน้ำเหมือนกัน พอขึ้นมาอีกที...หลับยาววววว
Nighty Night...zzzZZZ
16 Apr'17
อรุณเบิกฟ้าาาา นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส...ถึงเกียวโต 5555
เช้านี้ที่เกียวโต...รสบัสได้จอดสนิทตรงหน้าสถานีเกียวโต สถานีใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มเลย >O<
จะเงียบอะไรเบอร์นี้ บรรยากาศรอบๆ ที่คะน้ามองอยู่ค่ะ โล่งงงงงงง 55555
เดินเข้ามาด้านในสถานีแล้วนะคะ สิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็คือ...ยังคงเวิ้งว้าง
ตอนนี้เรามาเริ่มภารกิจตามหาห้อง Coin Locker กันก่อน Fighto!!
ผ่ามพามมม!! เจอแล้วค่าาา เดินเข้าประตูทางเข้าสถานีตรงมาเรื่อยๆ
ก็เจอเองแบบบังเอิญๆ (อย่าถามหา Detail จำไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ)
ถ้าให้ง่าย ใครจำเป็นต้องฝากกระเป๋าเดินทาง (โดยเฉพาะชาว Backpacker)
ถ้าไม่บังเอิญเจอจริงๆ แนะนำให้ถามคนแถวนั้นเลยค่ะ เบสิกและได้ผลดีนักแล
หลังจากได้ตู้ล๊อกเกอร์สมใจ เราก็สลับกันไปเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบอบแห้งกันค่ะ
เนื่องจากเราเดินทางมาด้วยรถบัสนอน ไม่ได้นอนโรงแรม เราจำเป็นต้องล้างหน้า
และเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเมื่อคืน เป็นชุดเที่ยวเกียวโตกันที่สถานีรถไฟแบบนี้แหละ 5555
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและฝากกระเป๋าเดินทางใส่ตู้เรียบร้อยแล้ว
เราก็เดินกันตัวปลิวมาซื้อตั๋วรถไฟรอบแรก (ของเรา) ในวันนี้
และในภาพคือ ผังรางรถไฟนะคะ มันก็จะยั้วเยี้ยหน่อยๆ นะ 5555
แหงนหน้ามองผังรถไฟไม่นานนัก...เราก็ได้ราคาของสถานีที่ต้องการ นั่นคือ...
"สถานี Inari" สาย D (สีส้ม) Jr Nara line ลงสถานี Inari ¥140 จิ้มโลดดด!
ผู้คนเริ่มหลั่งไหลทยอยมากันแล้ว วู้วๆ
เราต้องไปชานชลาที่ 8-10 ค่ะ เพื่อรอรถไฟสายอินาริ
รถไฟยังไม่มา เฮียหนูคะน้าก็แบบนี้...อ่ะ! แชะ!!
และแล้วก็มาจนได้...เขียวมาเลย 5555
เมื่อขึ้นรถไฟจากสถานีเกียวโต มายังสถานีอินาริ ไม่นานนัก ก็มาถึงแล้วค่ะ
ลงจากรถไฟมา เราก็เดินเท้าไม่ไกลเลยค่ะ ผ่านหมู่บ้าน ตรอกซอกซอยเล็กๆ
เดินเรื่อยๆ มาตามถนนชิลๆ ในตอนเช้า บ้านเมืองนี้เขาสะอาด สวย และสงบจนหลงรัก
"วัดจิ้งจอก Fushimi Inari [Check-In 15/30]"
ถึงหน้าวัดฟุชิมิอินาริแล้วค่ะ เพราะยังเช้าอยู่ เลยไม่ค่อยมีคน
ถ่ายรูปสบาย ไม่ต้องหามุมหลบคนเลยค่ะ
ดูสิคะ สงบมากกกก
รู้สึกว่า มองไป...ถึงแม้จะเห็นตึกสูง แต่ก็ไม่ขัดหูขัดตาเท่าไหร่นัก
คะน้ายังอินกับบรรยากาศของวัดสวยๆ แห่งนี้อยู่ดีค่ะ
เอกลักษณ์ศาลเจ้าเลยค่ะ เสาโทริอิใหญ่เบิ้มมมม
วัฒนธรรมก่อนการเข้าวัด เรามาทำตามธรรมเนียมปฏิบัติด้วยกันก่อนนะ
ล้างมือซ้าย ล้างมือขวา ล้างปาก ล้างกระบวย ปรบมือสามครั้ง แปะ! แปะ! แปะ!
มีป้ายบอกด้วยนะคะ ความน่ารักของประเทศญี่ปุ่นที่คะน้าสังเกตได้ก็คือ
ป้ายอธิบายสิ่งต่างๆ โฆษณา หรือ VDO บนรถไฟก็ตาม
ส่วนมากจะเป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ มานำเสนอค่ะ ไม่เว้นแต่ป้ายเตือนวลาขึ้นลิฟต์
ยังเป็นหน้าอิโมติคอนน่ารักๆ ตลอดเลยค่ะ เราจะเห็นความมุ้งมิ้งตะมุตะมิได้ทุกที่เลยจริงๆ
พอเข้ามาถึงด้านใน ผู้คนเริ่มทยอยมาบ้างแล้วค่ะ
มาถึงตรงนี้ แอ๋มศรีก็ร้องหาเหรียญห้าเยนอีกแล้ว เข้าวัดทีไร ร้องทุกที
เพราะเหรียญห้าเยน จะใช้อธิฐานขอพรแล้วโยนใส่กล่องหรืออ่างที่แต่วัดจะเตรียมให้ค่ะ
แอ๋มศรีบอกว่า ความหมายของเหรียญห้าเยนในภาษาญี่ปุ่น น่าจะหมายถึงความโชคดีค่ะ
อธิฐานขอพรเรียบร้อย ไปเดินเที่ยวชมวัดนี้กันต่อเลย
เอาซะหน่อย...ขอให้บล็อคของลูกมีคนอ่าน
และมีเพื่อนเที่ยวเพิ่มขึ้นเยอะๆ เลยนะเจ้าคะ เพี้ยงๆ!!
ตรงนี้มีป้ายไม้ที่ให้เขียนคำอธิษฐาน (รึเปล่า)
เดินผ่านเฉยๆ นะคะ ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ แหะๆ
คนไทยนิยมเรียกวัดนี้ว่า วัดจิ้งจอก
เพราะที่นี่มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกทุกมุมเลยจริงๆ ค่ะ
รูปปั้นสุนัขจิ้งจอกที่นี่สวย ดุดัน และน่าเกรงขามมากๆ เลยค่ะ
เราลองเดินขึ้นบันไดไปดูบรรยากาศวัดกันนะคะ
ไม่รีบค่ะ เดินไปถ่ายรูปไป ทริปนี้ชิล อยากเดิน อยากนั่ง อยากกลับ แล้วแต่จะโปรด 55555
บันไดตื้น และหน้ากว้างมาก เดินไม่ถนัดเท่าไหร่ จังหวะก้าวมันไม่ลงล๊อค 55555
เมื่อเราขึ้นบันไดมา จะเจอศาลเจ้าให้เรากราบไหว้กันตลอด ในแต่ละชั้นค่ะ
ชื่อเสียงของวัดนี้ แอ๋มศรีบอกว่ามากจาก...จำนวนของประตูโทริอิ นี่ล่ะค่ะ
เห็นว่ามีเป็นหมื่นต้นเลย เป็นทางเดินขึ้นเขาอินาริไปเรื่อยๆ
(ดูจากแผนผังที่ป้ายแล้ว ต้องเดินกันยาวเลยค่ะ)
อ่านมาคร่าวๆ ว่าเทพอินาริเป็นเทพของความอุดมสมบูรณ์พูลผล
และมีสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ของเทพค่ะ จึงมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกเต็มศาลเจ้าไปหมดเลย
น่าเคารพมากๆ เลยค่ะ น่าเกรงขามมาก
เดินมาได้ชั้นแรก ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกกับไฮไลท์ของศาลเจ้ากันหน่อย
เราขอให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ถ่ายรูปให้ค่ะ จริงๆ คือสลับกันถ่าย
วันที่คะน้าไป มีการทำพิธีกรรมด้วยค่ะ แต่ไม่ทราบว่าทำอะไรนะคะ
เมื่อเรารู้สึกว่าได้รูปถ่ายที่มากพอแล้ว เราก็เดินทางกันต่อค่ะ
ทางเข้ามีหลายทางนะคะ ออกมาเดินถนนในหมู่บ้านข้างนอกแล้ว
ก็ยังเห็นทางเดินเข้าวัดได้จากอีกมุมหนึ่งค่ะ
เดินมาไม่ทันเหนื่อย ก็ถึงสถานีรถไฟแล้วค่ะ
เรากำลังเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ ย่าน UJI โดยเราจะสาย Jr Nara line
เพื่อไปลงที่ "สถานี Uji" ¥240
ถึงแล้วววว พอลงจากสถานีรถไฟมา ก็เดินเล่นตามอัธยาศัยค่ะ
ถึงตรงนี้เราไม่อยากกำหนดว่าควรเดินทางไหน จริงๆ ที่อูจินี่คือเดินได้ทั่วค่ะ
เดินเที่ยว เดินถ่ายรูปไปเถอะค่ะ ย่านนี้ไม่ได้ใหญ่มาก เดินเล่นๆ ดูบ้านเมืองเพลินๆ ไปค่ะ
ถ้ารูปนี้ไม่มีแอ๋มศรี คิดว่ารูปนี้จะน่าดูกว่านี้มั้ย ป่านนี้มองเห็นถนนทั้งสายไปแล้ว 55555
เมื่อไม่มีแอ๋มศรี ความสวยงามตามจริงก็ปรากฏ วะฮ่ะฮ่าาา
สะอาดไปทุกอณูเมือง อยากได้ถนนแบบนี้ที่ประเทศไทย ดีต่อใจเหลือเกิน
เก็บภาพลักษณะร้านค้าตลอดถนนเส้นนี้มาฝากค่ะ ชิคๆ หน่อย คลาสสิคนิดๆ แต่ยังไม่เปิดนะ
ไม่มีร้านค้าไหนเปิดค่ะ เราไปเช้าเกินไปนั่นเอง
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ดีต่อการเก็บภาพบรรยากาศเหมือนกัน
"แม่น้ำอูจิ Uji River [Check-In 16/30]"
ในภาพ มองไปตรงสี่แยกถนนนะคะ ถนนด้านหน้าที่ตรงไป
คือถนนที่เราเดินผ่านมาเมื่อครู่นั่นเองค่ะ พอข้ามถนนมา ก็จะมาอยู่ตรงนี้
หันขวาจากภาพบน จะเจอมุมนี้เลย...สวยเนอะ
กลับหลังหัน เจอแม่น้ำอยู่ลิบๆ ตรงหน้า ทำไมวิวมันช่างคลาสสิคเยี่ยงนี้ T^T น้ำตาจะไหล ฟินนนน~
เอาล่ะ...เดี๋ยวเราจะไปเดินเล่นบนสะพานกันนะคะ
เมื่อเดินมาตามสะพาน และนี่คือวิวที่อยู่ตรงหน้าคะน้าค่ะ สวยงามอย่างแท้ทรู!!! แอร๊ยยยยย
เดินเรื่อยๆ จนมาถึงอีกฝั่งค่ะ เป็นเมืองเก่าที่คงความสวยแบบโบราณไว้ได้อย่างไม่มีที่ติ
มีแต่จะชมจนไม่รู้จะชมว่าอะไรดี
กลางสะพาน...วิวสวยแบบนี้ใครจะไม่อยากถ่ายรูป
นี่คือทางเดินที่เราเดินเล่นค่ะ จะเป็นทางแบบนี้ เดินสะดวก ทางกว้างเดินง่าย
ได้กลิ่นควันรถยนต์เล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเหม็นจนเป็นมลพิษค่ะ
อยากเดินไปไหนเดิน วนไปทางไหนก็ไปกัน ไม่มีกำหนดเวลา เดินกันตามใจฉันสุดๆ 5555
เดินลงจากสะพานใหญ่ ลัดเลาะมาตามริมแม่น้ำอูจิ มาทางฝั่งขวามือเรื่อยๆ
ยิ่งเดินยิ่งสวย ยิ่งให้ความรู้สึกเลอค่า และไม่รู้จะเอาอารมณ์ที่ไหนมารู้สึกดีได้เท่าที่ใจรู้สึก
ตลาดทางเดิน มีร่มไม้ตลอดทางนะคะ ไม่ร้อน อากาศเย็นดีค่ะ
สตาร์บัค ณ เกียวโต ร้านนี้ชื่อดังเรื่องบรรยากาศ
และดีไซน์ภายในที่สวยจนติ่งสตาร์บัคอยากมาเยือน
แต่พอดีคะน้าไม่ใช่ติ่งสตาร์บัค ขออภัยด้วยนะคะ ที่ไม่มีรูปมาฝาก
ซากุระตามคะน้ามาตั้งแต่ "โตเกียว" อาจไม่บานเท่าที่โตเกียว แต่ก็ไม่ยอมนะ ถ้าไม่ได้ถ่ายรูป
รูปนี้คะน้าตั้งใจถ่ายวิว พอยกกล้องขึ้น...ทำไมผู้ชายในเฟรมดูคุ้นๆ จังวะ 5555
วิวชัดๆ แบบไม่มีอิเฮีย สวยออริจินัลมั้ยละคะคุ๊ณณณณ!!!
วันไป มีการซ้อมพายเรือด้วยค่ะ เขาพายกันไวมาก ไวมากๆๆ แข็งแรง และฮึกเหิมสุดๆ
พอพายไปถึงจุดเส้นชัย (ที่ตั้งสมมุติไว้) ก็จะพักแขน ปล่อยลอย โดยมีคนคุมฝึก
ช่วยพายกลับไปยังจุดเริ่มต้นให้อีกครั้งค่ะ
ซูมให้ดูอีกฝั่งนึงค่ะ สวยมากเลย
เชื่อแล้วว่าเป็น "ตามสบายทริป" นอกจากจะกิน จะเดิน จะถ่ายรูปยังไงก็ช่าง
นี่ถึงขนาดนั่งชมวิวเฉยๆ ก็ได้เหรอ 55555
นั่งเล่นกันไปสักพัก ก็มีพี่สาวคนหนึ่ง ปั่นจักรยานโดยมีน้องหมาสุดหล่อวิ่งตามด้วย
คะน้าพ่ายแพ้ต่อสัตว์ (ที่ไม่เลื้อยคลาน) ทุกชนิดบนโลก อดไม่ได้หรอก ที่จะไม่ปรี่ไปหาน้อง
น้องน่ารักมากกกก ให้กอด ให้อุ้ม ให้เล่นขน ให้ถ่ายรูป แถมจุ๊บปากคะน้าด้วยนะ โอ้ยหลงงง!!!
ชิบะในตำนานก็มีค่ะ
ชิบะสีดำ (ถ้าไม่เข้าใจผิดไปเอง) หล่อเนอะ
น้องยิ้มค่าาา ดูสิๆๆๆ อ๊างงงง >///<
เอาล่ะ...ก่อนจะทำน้องหมาเฉามือตาย เราไปเดินต่อกันเถอะ...
"วัดเบียวโดอิน [Check-In 17/30]"
เดินมาถึงบันไดขึ้นทางเข้าวัดค่ะ ซากุระโปรยปราย
เดินเข้าวัดมา ก่อนถึงประตูทางเข้าจะมีที่ซื้อตั๋วค่ะ
ด้านซ้ายมือเป็น Nursery ต้นไม้แบบนี้ สวยอ่าาา ไม่เคยเห็น
หันมาด้านขวามือ สายเปย์ทั้งสองก็จัดการกันไป เราก็ยืนอยู่ของเราเงียบๆ......
ได้มาแล้วววว เป็นตั๋วสำหรับเข้าพิพิธภัณฑ์ภายในวัดนั่นเองค่ะ (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะคนละ ¥600 ค่ะ)
เดินผ่านประตูมา เจอซุ้มเลี้ยงพันธุ์ไม้ใหญ่กว่าด้านนอกอีกค่ะ อลังงงงงง!!
เดินผ่านจุดเมื่อครู่มา นี่คือสิ่งแรกที่เห็นค่ะ...
ไม่แน่ใจว่าอาคารด้านหลังเรียกว่าอะไรนะคะ แต่สวยดี
ตรงนี้คือห้องโถงฟินิกซ์ (Phoenix Hall) ที่มีสัญลักษณ์เป็นนกฟินิกซ์
ซึ่งเป็นต้นแบบที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของเหรียญเยนทั้งหลาย และบนธนบัตรนั่นเองงงง
และนี่คือ นกฟินิกซ์ ที่อยู่บนธนบัตรค่ะ
ส่วนตรงนี้ จะเห็นได้จากหลายๆ เว็บไซต์ที่ไปอ่านรีวิว (ก่อนไปเที่ยว)
ตรงนี้เรียกว่า อาคารหงส์ (บางเว็บไซต์เรียก นกอมตะ) การออกแบบอาคาร
คือจะคล้ายกับนกกางปีกอยู่กลางน้ำ สง่างาม และยิ่งใหญ่ค่ะ
ซึ่งไปยืนๆ มองอยู่นาน ก็สวยยิ่งใหญ่ อลังการสมคำร่ำลือจริงๆ ค่ะ
ถ้าสถานที่ไม่สวยอยู่แล้ว องค์ประกอบแสงสีไม่ดีงาม การถ่ายภาพเอียงๆ แบบนี้
คงไม่รอดมาขนาดนี้ 55555 ยอมใจความสวยของวัดนี้จริงๆ ค่ะ
อาจเพราะเรามาเช้า คนไม่ค่อยเยอะค่ะ ทำให้เก็บภาพได้ค่อนข้างโปร่ง และสวยงามชัดเจน
เดินไปตามทางเดิน เข้าไปเรื่อยๆ ค่ะ เราจะเห็นอาคารนี้ได้ทุกมุมพอดี
ยิ่งเดินเข้ามาด้านใน ยิ่งใกล้ค่ะ แต่คะน้าขอไม่เข้าไปนะคะ ดูข้างในคนจะเยอะ
ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นทัวร์จีนด้วยค่ะ ก็เลยไม่เข้าไป กลัวจะวุ่นวายไปกันใหญ่
Landscape แบบกว้างๆ สวยมากกกกกกกกก
ตอนนี้เรากำลังเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์คลังสมบัติที่เก็บสะสมของที่เกี่ยวกับวัดแห่งนี้ค่ะ
แต่ถ่ายรูปได้แค่ตรงนี้นะคะ ด้านในห้ามถ่ายรูปค่ะ เพราะเป็นสมบัติเก่าแก่โบราณ
เดินไปตามทางด้านใน มีภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นอธิบายตลอดทุกจุดในอาคาร
ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ตาดูรู้เรื่องค่ะ แค่นี้พอ 55555 และตรงนี้คือทางออกค่ะ
เอาล่ะ...ออกจากวัดอันสวยงามแห่งนี้ เดินไปเรื่อยๆ บนถนนนี้ เพื่อเช็คอินที่ต่อไปกันเลย...
"ถนนชาเขียว [Check-In 18/30]"
ออกจากวัดเบียวโดอินมาได้ประมาณเกือบสิบนาที (จริงๆ คือเดินช้ากันเอง)
เราก็จะเจอร้านไอศกรีม ร้านเบเกอร์รี่ ร้านอาหาร ตลอดทางเดินค่ะ
แต่ไฮไลท์ก็คือ ทุกร้านจะมีวัตถุดิบที่ทำมาจากชาเขียวเหมือนกันหมดเลย
เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องชาเขียวค่ะ เรียกสั้นๆ ว่า "ชาเขียวอูจิ"
(ขนมคิทแคทรสชาเขียว ก็เขียนว่า Uji นะคะ หมายถึง ใช้ชาเขียวจากที่นี่นั่นเอง)
มาทั้งที ไม่ลองได้อย่างไร นี่คือไอศกรีมชาเขียวที่รสชาติชาจริงๆ ค่ะ ชาละมุนไปทั้งปากเลย
อร่อยยยยยย มันเข้มข้นสุดๆ หอมมัน นุ่มลิ้นมากกกก มีราคาตั้งแต่ ¥350 - 450 ค่ะ
อันนี้ไม่เกี่ยวค่ะ แค่คะน้าเห็นสตรอว์เบอร์รี่ไม่ได้เลยเท่านั้นเอง เห็นแล้วเปย์ตลอดดดด
บรรยากาศของร้านบริเวณนี้ค่ะ คลาสสิคประมาณนี้ ถ่ายรูปชิคๆ ได้จนตาหูลายเลยค่ะ
จากนั้น เราก็เลือกแวะร้านเบเกอร์รี่เล็กๆ ร้านนึงค่ะ
โมจิสอดใส้ไอศกรีมชาเขียว ละมุนถึงลำไส้เล็กเลยค่ะคุณขาาา
ชิ้นนี้เป็นของคะน้าที่ถูกแอ๋มศรีแย่งไป นี่คือ...เอแคลล์ชาเขียวค่ะ
ถ้าไม่กลัวเน่าและละลาย อยากจะยกทั้งตู้เย็นกลับไทยมาด้วย คือรสชาติดีงามมากจริงๆ
ไอศกรีมแล้ว ของหวานก็แล้ว มาของคาวกันบ้างดีกว่าค่ะ
(มันจะดูสลับๆ กันใช่มั้ยคะ 5555 คือเราเดินเจออะไรก่อนก็ทานก่อนค่ะ ไม่ได้ซีเรียส)
ร้านนี้เป็นบะหมี่เย็นเส้นชาเขียว ที่มีคิวยาวมากกกกกก
แบบคนนั่งทานในร้านก็กดดันไปด้วย ประมาณว่า...ทานไปก็ต้องเกรงใจคนที่ยืนต่อคิวข้างนอก ไรงี้
น้ำซุปก็ไม่ต่างจากราเมงทั่วไป หรือเพราะไม่ใช่อาหารที่เราคุ้นเคยค่ะ
ก็เลยไม่สามารถตอบได้ว่า มันอร่อยกว่าที่อื่นยังไง แต่รสชาติคือดี กลมกล่อม อันนี้คะน้าโอเค
อันนี้อะไรไม่รู้ เหมือนก๋วยเตี๋ยวน้ำใสเด็ก ถ้าคนไทยแท้ๆ ออกจะบ้านนอกหน่อยๆ แบบเรา
ก็มีควานหาพริกป่นกันบ้างค่ะ 55555
เผยให้ดูใส้ของเจ้าลูกกลมๆ อารมณ์ผัดหมี่ซั่วที่ถูกยัดใส้มาในไข่บางๆ
จานนี้โอเคสุด เพราะเป็นปลาซาบะมีซอสเค็มๆ แน่นอนว่า...ไม่เลี่ยนเหมือนเมนูอื่นข้างบน
เดินออกมาจากถนนชาเขียว เราก็เจอร้านไอศกรีมน่ารักๆ เข้าระหว่างทาง อ่ะ! แวะสิ
หน้าตาเมนูขนมและไอศกรีมของร้านนี้ค่ะ คะน้าสั่งเมนูแนะนำของร้าน
เป็นซอฟต์ครีมชาเขียว ใส่ท็อปปิ้งถั่วแดงและบลาๆๆ ล้นแก้วไปหมดเลย
เดินทานกันมาสองคนสบายใจเฉิบ ปล่อยเฮียเดินลำพัง
ก็เลยโดนแบล็คเมล์เป็น Snap shot เหวอๆ แบบนี้ 55555
เรากำลังกลับไปเอากระเป๋าที่สถานีเกียวโตกันค่ะ
จากนั้นซื้อตั๋ว ¥240 ที่สถานีเกียวโต เพื่อไปสถานี Tofukuji ¥140 กันต่อ
เมื่อเรามาถึงสถานี Tofukuji
เราก็เปลี่ยนขบวนกันอีกครั้งค่ะ เพื่อไปลง Gion-Shijo
โดยนั่งรถไฟสาย Keihan Main line ¥150
ถึงแล้วค่า สถานี Gion-Shijo เมื่อเดินออกมาจาก Subway ในรูปแล้ว
เราก็จะโผล่มาเห็นบ้านเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องสไตล์เก่าแก่โบราณ ออริจินัลสุดๆ
คะน้าเดิน Slow motion มากตอนนั้น คือเดินไป ยกกล้องถ่ายไป มันสวยไปทุกมุมจริงๆ ค่ะ
และนี่คือบรรยากาศสองข้างริมถนน ณ ย่านกิอองค่ะ ร้านค้าตลอดทาง ทั้งสองฝั่งเลย
ขนม เสื้อผ้า กิ๊ฟช๊อป แบบญี่ปุ่นจ๋ามากๆ เงินหนาๆ หน่อย จะแวะทุกร้านก็ไม่แปลกค่ะ
เพราะทุกร้านน่าเข้าหมดเลย ขนมงี้ หน้าตาตะมุตะมิมากกกก แอร๊ยยย~
อย่างกะอยู่เมืองจีน ผสมยุโรป ผสมญี่ปุ่น สวยงงๆ ดีค่ะ
แต่ที่ไม่งง ไม่วุ่นวาย ก็ต้องชมการจราจรของบ้านเมืองเข้านี่แหละ เป๊ะเว่อร์!!
รถยนต์คิขุดีมั้ยคะ สังเกตุสิคะ ไม่มีรถคันไหนเปื้อนฝุ่น ถนนไม่เยิน งามไปทั้งเมือง
เดินไปเถอะค่ะริมถนน ไม่มีสำลักฝุ่นใดๆ น้ำไม่มีกระเด็นใส่ค่ะ เดินฉิวเลย
สายไฟมีเหมือนบ้านเราค่ะ แต่สไตล์การพันสายโทรศัพท์ บ้านเราแอดว๊านซ์กว่ามาก 5555
เดินชมเมืองมาได้ราวๆ สิบห้านาที เราก็มาถึงที่พักกันแล้วค่ะ
เข้าเช็คอินที่ โรงแรมลาออง อินน์ กิออง ซินโมะเซง (Laon Inn Gion Shinmozen)
เริ่มเช็คอินได้ บ่ายสอง นี่คือเหตุผลที่เราเลือกกลับโรงแรมตอนบ่ายนั่นเอง
ที่นี่เป็นเกสเฮ้าส์เล็กๆ ในย่านชุมชนกิอองค่ะ แต่พอเข้ามาด้านใน คือสุดยอดไปเลย
เตียงนุ่มมากกกก จัดห้องสวย สะอาด น่านอนสุดๆ เลยค่ะ
อุปกรณ์ในครัวเรือนครบ มีตั้งแต่ตู้เย็น ไมโครเวฟ ยันเครื่องซักผ้าเลยนะเออ!!
ห้องน้ำเช่นทั่วไปค่ะ คือยอดเยี่ยมทั่วๆ ไป อยากยกส้วมกลับบ้าน 5555
นี่ๆ...มีเตาไฟฟ้าให้ด้วย นี่เกสเฮ้าส์เหรอ เอาดีๆ
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เฮียตั้มน๊อคค่ะ เนื่องจากก่อนมาทริปญี่ปุ่น
ทำงานหนักมาพอสมควร พอมาวันนี้เริ่มไม่ไหว เลยขอนอนพักที่โรงแรม
คะน้ากับแอ๋มศรี ชะนีพลังเหลือ ก็เลยเดินออกมาเที่ยวเล่นกันเองค่ะ ถนนยามเย็น เดินชิลดีนะ
จากภาพบน เราเดินตามฟุตบาธมาเรื่อยๆ ข้างทางก็มีร้านเก๋ๆ อย่างร้านเช่ายูคาตะ
ร้านขนม ร้านชากาแฟ ร้านอาหารเล็กๆ และอื่นๆ เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ
ส่วนมากที่นี่จะขายยูคาตะ ไม่ก็ร้านให้เช่าซะเยอะนะคะ ผู้คนที่นี่แต่งชุดยูคาตะเยอะเหมือนกัน
เดินมาเรื่อยๆ ก็ถึงศาลเจ้าใหญ่โต ที่ไหนสักที่ค่ะ มองจากฝั่งนี้ คนเพียบเลย
มีสาวญี่ปุ่นสวมยูคาตะกันเต็มเลยค่ะ มีงานอะไรแน่ๆ เลย ต้องไปดูซะหน่อยแล้ว...
"เที่ยวงานวัด ย่าน Yasaka [Check-In 19/30]"
เราเดินข้ามถนนตรงทางม้าลายเมื่อครู่นี้ ก็มาถึงศาลเจ้ายากาสะ ที่แท้ วันนี้ก็มีงานวัดนั่นเองค่ะ
สุดยอดดดด!! สักครั้งในชีวิต ที่ได้เที่ยวงานวัดญี่ปุ่น ปิติมากกกกค่ะคุณขาาาา~
ร้านค้าเหมือนอยู่ในการ์ตูนเรื่องโคนันตอนที่ออกมาเที่ยวงานวัดอะไรสักอย่างเลย
ในหัวมีแต่ภาพในการ์ตูนญี่ปุ่น งือออ เหมือนฝันไปเลย คนเพียบบบ
เราเดินวนๆ อยู่กับแอ๋มศรี เพื่อสังเกตุและหาของอร่อยๆ ทาน
สิ่งที่มองเห็นคือขนมพื้นเมืองญี่ปุ่นหลายหลายมาก น่าทานมากกกก
และเด่นๆ เลยคือราคาค่ะ ทุกร้าน ¥500 เหมือนกันหมด
(ราวๆ 160-170 บาทไทย ทุกเมนู)
ลูกชิ้นปิ้ง ไม้ละ ¥500
ติ่มซำก็ ¥500
แอ๋มศรีงอแงอยากทานมันฝรั่งทอด ถาดนี้ ¥500 เช่นกันค่ะ
ทาโกะยากิ และปูอัดปิ้งของคะน้า ก็อย่างละ ¥500
หอยเชลตัวเบ้อเริ่ม ไม้นึงมีสองตัว ¥500 เหมือนกันค่ะ
น่าทานมั้ยคะ แบ่งกันชิมกับแอ๋มศรี ซื้อๆ ทานๆ สนุกๆ
พอทานอิ่ม (อิ่มเถอะ กระเป๋าแฟ่บแล้ว 5555) เรามาเดินเล่นชมวัดกันสักนิดนึง
เดินออกมาจากศาลเจ้า เดินต่อมาเรื่อยๆ นะคะ จะเจอซอยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่
(ดูจากสไตล์ของบ้าน และบรรยากาศรอบๆ)
มีสามล้อบริการลากด้วยค่ะ พลขับต้องอึดแค่ไหนกันเนี่ย
อดใจไม่ไหวค่ะ ระหว่างทางเจอสาวๆ ยูคาตะ ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกด้วยหน่อยนะคะ
เพราะคงไม่มีโอกาสได้ใส่เอง 5555 น้องๆ สองคนนี้น่ารักมากค่ะ อาโนเนะมากกกกก~
เดินมาเรื่อยๆ ก็พบหอคอย (เรียกไม่ถูก) สูงมากกก เด่นตะหง่านอยู่กลางชุดชนแห่งนี้ค่ะ
ชอบในความคลาสสิคนี้
ทางเดินเริ่มเหนื่อยค่ะ เพราะต้องเดินขึ้นทางลาด ภูมิประเทศแถวนี้น่าจะเป็นภูเขา
และเรากำลังเดินขึ้นเขาดีๆ นี่เองค่ะ เริ่มหอบ...แต่ไม่หยุดเดินสักนิด มันอยากรู้อยากเห็นไปหมด
เดินมาเรื่อยๆ ราวๆ ห้าโมงเย็น แอ๋มศรีก็เริ่มเฉลยว่า...จริงๆ แล้วกำลังจะพาคะน้า
ไปเช็คอินที่เด็ดมากๆ ของเกียวโตค่ะ...นั่นก็คือ!!
"วัดคิโยมิสุ / วัดน้ำใส [Check-In 20/30]"
มาถึงแล้วค่าาาาา วัดเก่าแก่นับ 1200 ปี แห่งเกียวโต!! หนึ่งในรางวัลยูเนสโกของโลก
ก่อนอื่นซื้อตั๋วกันก่อนค่ะ (จำราคาไม่ได้แล้วค่ะ แต่ไม่แพงนะ จำความรู้สึกได้ 5555)
และนี่คือทางเข้า ส่วนด้านขวามือเห็นมีการตั้งนั่งร้านลิบๆ ใช่แล้วค่ะ
ตอนนี้ทางวัดกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงนั่นเอง (หลายๆ คนอาจทราบข่าวบ้างแล้ว)
แต่ที่ไป ก็ไม่ได้ปิดค่ะ แต่เดินเล่นไม่ได้บางจุด ซึ่งก็ไ่ม่ได้บดบังทัศนียภาพอะไรเลย
ยังเห็นความสวยงาม กว้างใหญ่ของที่นี่ได้อย่างชัดเจน ไม่เสียเที่ยวที่เดินมาตั้ง 2 กิโล
ร้องว้าววววว ว้าวจนกรามค้างกันไปเลยตอนนั้น เพราะเคยเที่ยวป่ามาก็หลายที่
แต่ป่าหลากสีแบบนี้ โอ้ย! ครั้งแรกเลยค่ะ สวยง่าาาา
คะน้าไปตอนเย็นมากแล้วค่ะ นักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยมี สงบมากเลย
ชมวิวไป ขอพรพระไป จิตใจผ่องใสพองโตกันไปจนหน้าบาน ^____^
นี่ค่ะ ปรับปรุงตรงนี้ ตรงที่เราต้องเดินมาไหว้พระขอพรพอดีเลย
นี่ค่ะ ถึงแล้ว ตรงนี้มีองค์พระอยู่ด้านในค่ะ เพื่อนคะน้าที่เป็นคนญี่ปุ่นแนะนำว่า
มาวัดนี้ต้องขอพรเรื่องความรัก คะน้าไม่พลาดแน่ๆ พลาดที่โตเกียวแล้ว
จะไม่ยอมพลาดที่เกียวโตอีกแน่นอน วะฮ่ะฮ่าาาา!! สาธุเพี้ยงๆ ขอให้ลูกอย่านกอีกเลยยยย...
ขอพรเสร็จเรียบร้อย ความมั่นใจราวกับสวมเกาะเพชรเจ็ดสีมีฤทธิ์ไล่นกเจ็ดสิบสายพันธุ์ก็พวยพุ่ง!
เราก็เดินผ่านออกจากจุดเมื่อครู่ เพื่อลงไปด้านล่างค่ะ เห็นคนเข้าแถวกันลิบๆ เขาทำอะไรกัน?
รองเท้าผ้าใบเท่านั้นที่ครองโลก ดูสิคะ ดูบันได เดินกันจนน่องโป่งนะคะ การมาที่นี่
เดินสองกิโลขึ้นเนินชันตามแนวลาดของภูเขา แล้วยังต้องมาเจอบันไดขนาดนี้
เกิดเป็นชะนีสายเที่ยว ต้องสตรองกันเบอร์ไหน ถามใจดู 5555
พอลงมา ก็ถึงบางอ้อ ตรงนี้เขามาต่อคิวดื่มน้ำบริสุทธิ์ (บ่อน้ำที่มาของชื่อวัด)
มาแล้วต้องขอพร-ดื่มน้ำ โอเค ต่อคิวสิ รออะไร (คนไม่ค่อยเยอะ เลยมีกำลังใจที่จะต่อค่ะ)
และแล้วไม่นานเกินรอ เราก็เดินมาถึงค่ะ ตรงที่เป็นแก้วน้ำ มีด้ามจับยาวๆ ด้วยค่ะ เอาไว้ยื่นรองน้ำ
ตัวแก้วมีการแช่ลำแสงอัลตร้าไวโอลิน ไม่ใช่! ไวโอเลต ไม่ใช่! เอ้ย! ถูกแล้ววว! ฆ่าเชื้อให้ด้วย 5555
ขอผู้ เอ้ย! ขอพรก็แล้ว ดื่มน้ำก็แล้ว เดินเล่นอีกสักนิด ชมบรรยากาศค่ะ
ยามเย็น อากาศก็เย็นตาม เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ทีละนิดๆ ค่ะ แต่ไ่ม่ถึงกับยะเยือก กำลังสบาย
บรรยากาศระหว่างทางเดินค่ะ เริ่มจะมืดๆ หน่อยแล้ว
และนี่มุมที่มองเห็นเมืองเกียวโตไปไกลๆ เวลาตอนนี้ประมาณหกโมงเย็นนิดๆ ค่ะ
มาทางไหนกลับทางนั้น มาสองกิโล ก็ต้องเดินกลับสองกิโลค่ะ เฮือกกกกก!!
ขากลับเฮียโทรมาด้วย Line Call (คะน้าพก Pocket WiFi ติดตัวค่ะ)
ส่วนเฮียใช้ WiFi ที่รีสอร์ทติดต่อเรา บอกว่าตื่นนอนแล้ว หิวแล้ว และอยู่ไหนกัน มารับหน่อย
เราเลยบอกทางเฮียให้เดินมาเจอกันที่งานวัดศาลเจ้าค่ะ เพื่อเฮียจะได้หาอะไรทานที่นี่นั่นเอง
มาดูบรรยากาศงานวัดกันอีกครั้ง ในยามกลางคืนสักนิดนะคะ
ตอนนี้มีนักร้องด้วยค่ะ เพลงญี่ปุ่น (ฟังๆ แนวลูกทุ่งญี่ปุ่นค่ะ)
คนยืนชมการแสดงเยอะมากพอสมควรเลยทีเดียว
เฮียเลือกทานไข่ห่อซี่โครงหมู-ชีสค่ะ แน่นอนว่า ¥500 เท่ากันเลย
ทานอิ่มครบทุกคน เราสามพี่น้องก็มาเดินเล่นกันต่อเลย...ข้ามถนนมาเลยค่ะ
คะน้าส่งภาพนี้ให้คุณแม่ดูในไลน์ก่อนนอน แม่ถามว่า...ไปนั่งทำอะไรกันมืดๆ ริมถนน?
ขุ่นแม๊!!! นี่มันย่านถนนกลางคืนค่ะแม่ขาาาา นี่คือ...
"ย่านกิออง / ย่านเกอิชา [Check-In 21/30]"
ย่านนี้คือย่านที่ร้านค้าข้างทาง มักจะเป็นร้านของเกอิชาค่ะ มีโชว์เกอิชา แต่ต้องเสียค่าเข้าไปดู
ซึ่งเราเดินผ่านๆ ไปดูบรรยากาศ ให้ได้รู้จัก ให้ได้เห็นเท่านั้นค่ะ
นักท่องเที่ยวเยอะมากพอดู ต่างชาติเยอะมากค่ะ
ร้านข้างทางส่วนมากปิดประตูหน้าต่างมิดชิด เพราะว่าด้านในมีเกอิชาค่ะ
บอกแล้วว่า...ถ้าอยากเห็นเกอิชาตัวเป็นๆ ต้องเสียค่าเข้าชมค่ะ
การเดินดูร้านที่ปิดมิดชิด ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ เราเลยเดินผ่านๆ แล้วกลับโรงแรมนอน
นอนเอาแรงดีกว่าคืนนี้...พรุ่งนี้เช้าคะน้าจะพาไปเที่ยวต่อนะคะ ฝันดี zzZZ
อรุณซาหวาดดดดดดดดด~
เช้านี้เราเก็บกระเป๋า แล้วเดินมาที่สถานีรถไฟ เราจะไป Arashiyama กันค่ะ
เรานั่งรถไฟจากสถานี Gion-Shijo ไปที่สถานี Kyoto เพื่อฝากกระเป๋าที่ Coin Locker
จากนั้นซื้อตั๋วนั่งสาย JR Sagano Line ลงที่สถานี Umahori ราคาตั๋วอยู่ที่ ¥320
ขึ้นรถไฟมา เจอกลุ่มนักเรียนประถม แต่งตัวน่ารักมากกกก เหมือนมารุโกะ - ชินจัง
แอ๋มศรีขอถ่ายภาพกับเด็กๆ เด็กๆ ก็ดูจะเขินๆ ค่ะ 5555
นี่คือภาพที่รถไฟกำลังวิ่งผ่านนะคะ พอดีกดชัตเตอร์ทัน เลยได้ภาพเมืองที่ค่อยข้างชัดเจน
พอหลุดออกนอกเมืองมา ก็เริ่มจะเป็นทุ่งนาแล้วค่ะ สวยตรงต้นไม้นี่แหละ
อยู่ดีๆ ฝนตกเฉย 5555 วั้ยตั่ยแล้วววว
พอรถไฟถึงที่สถานี Umahori เฮียตั้มก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพทุ่งนาญี่ปุ่นค่ะ
เฮียบอกมันชิคดี มีสถานีรถไฟ มีซากุระ จะงดงามอะไรเบอร์นี้
เมื่อเราเดินลงจากชานชลามาที่ด้านล่าง เราก็เจอป้ายนี้ค่ะ
เป็นป้ายบอกทางเดินไปที่ Sagano Romantic Train ที่สถานี Torokko Kameoke นั่นเอง
แต่เพราะฝนตก เราไม่มีชุดคลุมฝน ไม่มีร่ม เราเลยต้องไปซื้อค่ะ เฮียตั้มอาสาวิ่งออกไปซื้อให้เอง
ได้ร่มมาแล้วค่ะ จริงๆ อยากได้ร่มใส ที่เขาฮิตๆ กัน แต่เฮียผู้น่ารักบอกว่า แพง! 5555
เฮียเลยถอยร่มสีฟ้าสว่างสดใสมาให้น้องสาว ในราคา 600 บาทไทย แทบร้องไห้ T_T
นี่คือภาพที่คะน้าถ่าย จากรูปบนค่ะ เป็นทุ่งนาสีเขียวเลมอน ภูเขาและไอหมอกแบบนี้ตลอดทาง
เพราะฝนตกไงคะ หมอกเลยลงหนามาก เรากำลังเดินไปขึ้นรถไฟสายโรแมนติกกันค่ะ
โอ๊ะ!! จำได้ว่าตอนนั้นเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย จนแอ๋มศรีเรียก
ไอ้เราก็เงยหน้าแล้วแบบ...อ้าว! ถึงแล้วเหรอ 55555 คือเดินเพลินมาก วิวสวยมากค่ะ
"รถไฟสายโรแมนติก [Check-In 22/30]"
เดินขึ้นมาบนสถานี เราก็มาซื้อตั๋วกันก่อน คนไม่เยอะอีกแล้วค่ะ
ดีจังเลย ไปไหนก็คนน้อยตลอดเลย ทริปนี้ชิลตั้งแต่เรื่องเวลา ยันจำนวนนักท่องเที่ยว
ได้ตั๋วมาแล้วจ้า เรารอขึ้นรอบสี่โมงเย็นค่ะ ตอนนี้ฝนก็ยังตกอยู่ แต่ตกปรอยๆ แล้ว
ระหว่างรอไม่รู้จะทำอะไรค่ะ ไปหมุนตู้กาชาปอง ตามกระแสกันหน่อย ฮือออ น่ารักกกก
นี่ค่าาาา กาชาปองตัวแรกในชีวิตคะน้า เขียวมาเลย 5555
นี่คะน้าเดินออกมาถ่ายวิวเล่นๆ ค่ะ ภูเขาสูงสลับกัน มีต้นไม้หลากสี มีซากุระบนเขาด้วย
พอถึงเวลา รถไฟก็มาแล้วค่ะ หัวรถไฟมีโบกี้แบบ Open และต่อจากตรงนี้
ก็เป็นโบกี้ที่ให้นั่งด้านในแบบปกติค่ะ คาดว่าฝนตกแบบนี้ คงไม่มีใครนั่งตรงนี้แน่ๆ เลย
ต่อแถวขึ้นรถไฟกันค่ะ ส่วนคะน้าแอบซน ขอวิ่งออกมาถ่ายเพื่อนตอนขึ้นรถไฟหน่อย 5555
ฮึ่ยย่ะ!!! พอทุกคนขึ้นรถไฟมาครบหมดแล้ว อยู่ๆ เจ้าหน้ากากคนนี้ก็วิ่งขึ้นมาค่ะ
คนตกใจก็มี คนขำก็มีค่ะ เขาทำท่าราวกับว่ากำลังจากลาคนที่รักสักคน ตอนรถไฟกำลังจะออก...
รถไฟเริ่มเคลื่อนแล้วค่ะ งื้ออออ ตื่นเต้นนนน >///<
พอรถไฟออกมาจากสถานีได้สักพัก เจ้าหน้ากากคนเมื่อกี้ ก็เดินมาเรียกผู้โดยสาร
ให้ลุกออกมาที่โบกี้ข้างนอกค่ะ (แอ๋มศรีบอกว่า โบกี้ข้างนอก ปกติคือราคาพิเศษ)
แต่เพราะวันนี้ฝนตก และคนน้อย เขาเลยใจดีให้ออกไปอยู่ที่โบกี้นั้นได้ฟรีๆ บุญของอิช้อยนัก
พอออกมาแล้ว คะน้าก็ถ่ายรูปได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องถ่ายผ่านกระจกแล้ว
แต่เพราะรถไฟวิ่งเร็วมากๆๆ หาภาพดีๆ ยากมากเลย 55555
(กลับไทยถึงขนาดจะงอแง จะซื้อกล้องใหม่ ทริปหน้าได้กล้องใหม่แล้ว ภาพคงจะดีกว่านี้นะ)
ข้างทางประมาณนี้ รถไฟสายโรแมนติก โรแมนติกจริงๆ ด้วย ฮืออออ~
ฝนตกแคร์ที่ไหน เปียกก็เปียก เรามาเที่ยว เราต้องลุยสิคะ
ภูเขา แม่น้ำ สายฝน ครบไปอีก 5555
มีทางรถไฟอยู่ข้างบนด้วยค่ะ
ฝั่งนั้นมีหมู่บ้านด้วยค่ะ โอ้ยยย! ริมผา บนป่าเขา งดงามออริจิสุดๆ เลย
ผ่านวิวสวยงามโรแมนติกมาตลอดทาง และแล้วเราก็มาถึงที่สถานี Arashiyama แล้วค่ะ
และที่นี่ เราจะมาเดินเล่น ท่ามกลางสายฝนกันต่อที่...
"ป่าไผ่ อาราชิยามา [Check-In 23/30]"
พอลงจากรถไฟ แล้วเดินขึ้นมาบนสถานี คะน้าก็ถ่ายภาพรถไฟไว้ค่ะ มีดอกไม้เข้าฉากพอดีเลย
เดินออกมาจากสถานี อ้าว!! ถึงแล้วเหรอ ป่าไผ่อาราชิยามาในตำนาน ว้ายๆๆๆ
ไผ่หนาทึบมากกก นี่ไม่ได้เล่นๆ เลยค่ะ ไผ่สมบูรณ์มาก อากาศก็ดีมาก ทางเดินสะดวกสบายด้วย
นักท่องเที่ยวน้อยมากกกกกกกกก
ป่าไผ่...ป่าจริงๆ ค่ะ ฝนตกเบาๆ แบบนี้ด้วย เขียวชะอุ่มไปกันใหญ่
ภาพนี้คะน้าได้ส่งให้พี่สาวดู พี่สาวบอกว่า อิจฉาที่คะน้าถ่ายรูปได้ปลอดโปร่งมากๆ
เพราะพี่สาวคะน้ามาเที่ยวนักท่องเที่ยวหนาแน่นมาก ถ่ายรูปสวยๆ ไม่ได้เลย แง้!
ตรงนี้คะน้าเดินผ่านเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้เข้าไปดู และไม่รู้ด้วยว่าคืออะไร 5555
เอาเป็นว่า ใครได้ไปมาแล้ว แชร์ให้คะน้าทราบบ้างนะคะ แหะๆ >_<
ทางเดินในป่าไผ่ยาวไกลเอาเรื่องแฮะ แต่ข้างทางก็มีอะไรให้ชมตลอดค่ะ
มีจุดที่น่าถ่ายรูปเล่นเยอะพอสมควร ดื่มด่ำบรรยากาศกันไป เพลินๆ
เดินผ่านแล้วยกกล้องถ่ายแบบ Snap shot ค่ะ ออกจะเอียงหน่อยๆ
เป็นรูปปั้นหินอ่อน เจ้าแม่กวมอิมค่ะ สวยและดูเข้ากับบรรยากาศรอบๆ มาก
เดินทางเรื่อยเปื่อย เจอศาลเจ้าด้วยค่ะ มีรถสามล้อลากวิ่งผ่านไปมา ดูคลาสสิคมากเลย
ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าศาลเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นบ้านหรืออะไรนะคะ แต่สวยดี ญี่ปุ๊นญี่ปุ่น~
เดินสุดทางของป่าไผ่ เราก็ออกมาโผล่ถนนใหญ่กันค่ะ
เดินต่อไปเรื่อยๆ ตามทาง จะมีร้านค้าขายไอศกรีม ของที่ระลึกตลอดสาย
ลองเดินเล่นไปเรื่อยๆ กันนะคะ ว่าเราจะไปเจอวิวอะไรสวยๆ ตรงไหนบ้าง
และเพราะฝนตกค่ะ คนก็เลยไม่เยอะ จริงๆ ก็ไม่เยอะตั้งแต่ในป่าไผ่ละไง
เดินไป หยุดถ่ายรูปไป ซากุระนิดหน่อยก็เอา 55555
เจอร้านขายไอศกรีมรสซากุระ ซื้อมาโคนเดียว ทานสามคน เพื่อลองเฉยๆ
อยากรู้ว่ารสชาติเป็นไง เก็บไว้เป็นประสบการณ์สักครั้ง...เอิ่ม...รสเหมือนข้าวเหนียวปั่นน้ำแข็ง
มันๆ แปล่มๆ จืดๆ อารมณ์มัน+เผือก+ข้าวเหนียว อะไรเทือกๆ นี้ 55555
พอเดินมาสุดทางถนน จะเจอสะพานข้ามแม่น้ำ Togetsukyo
ข้ามถนนมาจากฝั่งถนนเมื่อครู่ จะอยู่ฝั่งสะพานแบบนี้ค่ะ
ดูแลดีอย่างงี้ไง ใครๆ ก็หาว่าเราจิ้นกันไปหมดแล้ว 55555
การที่เป็นน้อง และเป็นผู้หญิง และตัวใหญ่กว่าพี่ชายนี่มัน... TOT
กลับไทยจะลดความอ้วนค่ะทุกคนนนน!!!!
ฝนตกค่ะ แม่น้ำน้ำไหลแรง เพราะต้องระบาย และบนเขาก็มีหมอกหนา โคตรสดชื่นอ่ะ
ไม่สนว่าจะตัวเราจะเปียกหรืออะไรเลยนะคะ ตอนนั้นขอให้มอง ให้จดจำภาพให้ได้มากที่สุด
เพราะมันสวยจริงๆ อากาศเย็นฉ่ำ สบายชิลมากกกกก
อย่างกับพระเอก MV หมอกหรือควัน แต่จากภาพน่าจะควันนะ ใส่ Mask พร้อม
ถ้าคะน้าขยัน แล้วแต่งภาพนี้อีกสักนิด ให้แสงสีเลอค่ากว่านี้ ก็จะฟินไปอีกค่ะ
แต่ที่คะน้าไม่แต่งภาพ (แต่งบางภาพ) เพราะคะน้าว่าที่ถ่ายมา มันใกล้เคียงกับบรรยากาศ
ณ ตอนนั้น มันเรียลที่สุดแล้ว คะน้าอยากให้เห็นแบบที่คะน้าเห็นจริงๆ ค่ะ
เหมือนอยู่ในหนังอะไรสักเรื่อง ที่กางร่มกลางสายฝน ลมพัดเบาๆ
แล้วยืนร้องไห้...ที่ต้องนกซ้ำๆ ผู้ชายไม่มี 5555
คุณขาาาา~ น้ำจากท่อระบายยังใสกว่าหนังหน้าอิคะน้าอีกค่ะ แอร๊ยยยย
สวยไม่รู้จะชมยังไงให้รู้ว่า...เฮ้ย! สวยจริงๆ อ่ะ
เพียงแค่ฝนตกลงที่หน้าต่างในบางครา เพียงแค่ฝนตกลงในวันหยุดในตอนเช้า
มันก็อาจจะมีนิดเดียวที่คิดถึงเธอ มันก็อาจจะเป็นครั้งเดียวที่บอกรักเธอ
เพียงแค่...ฉันก็ไม่รู้ว่าท่อนแร็พมันร้องอย่างไร?? ตะมุตะมิดำน้ำบ๋อมๆ แบ๋มๆ เรื่อยไป!!
55555 ก่อนที่จะทำเพลงชิคๆ ของพี่ทอยส์เขาเสียไปกว่านี้ คะน้าว่าคะน้าควรพอก่อนดีกว่ามั้ย
เรากำลังเดินทางกลับที่พักสำหรับคืนนี้กันแล้วค่ะ หากมาถึงตรงนี้ ถ้าใครจองโรงแรมไหนไว้
สามารถศึกษาเส้นทางเดินรถไฟตามอัธยาศัยเลยนะคะ ส่วนคะน้านอนพักที่เกสเฮ้าส์ที่โอซาก้าค่ะ
เราเดินกลับไปยัง "สถานี Saga Arachiyama" เพื่อนั่งรถไฟกลับ Kyoto ¥240
จากนั้นก็ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่สถานี ก่อนจะเดินทางกันต่อไปยัง "Osaka"
โดยขึ้นรถไฟสาย JR Special Rapid Service ลง Osaka เลยค่าาาา
เปลี่ยนขบวนไปสาย Osaka Loop Line (Inner loop)
บรรยากาศหนาแน่นพอๆ กับ BTS บ้านเราเลยค่ะ
ตั๋วนี้เพื่อลงที่ "สถานี Shinimamiya" ค่ะ ¥920
ตอนไปญี่ปุ่นช่วงนั้น อินเนอร์แรงมากกกก กับเรื่องนี้...มโนเป็นเบลล์อยู่หลายอาทิตย์ 5555
มาถึงแล้วค่ะ "สถานี Shinimamiya" แล้วเราก็เดินเท้าต่อไปตาม Google map
เพื่อเข้าเช็คอินที่โรงแรม Hostel Namba-minami KANON ค่ะ
ตอนเดินผ่านห้างนี้ แอ๋มศรีบอกว่า ห้างนี้ดังนะ เพนกวินเนี่ย
ไอ้เราก็หันไปมองๆ อ๋อๆ ไป ไม่รู้จักกับเขาหรอก 5555
ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายภาพที่พักมาให้ชมแบบจุใจนะคะ กลับมาเหนื่อย และตากฝนด้วยค่ะ
พอมาถึงก็มืดแล้ว (ช่วงหัวค่ำ ที่จำเวลาแน่นอนไม่ได้) เรามัวแต่ช่วยกันเก็บของด้วยค่ะ
>>> เก็บตก...ก่อนนอนคืนแรกในโอซาก้า <<<
หลังจากที่เราช่วยกันเก็บของเข้าที่พักกันเรียบร้อยแล้ว
ความเหนื่อยและหิวโหยก็ประดังประเดกันเรียกร้องให้เราเดินออกมาหาอะไรอร่อยๆ ทานค่ะ
จากที่พัก เดินมาตามริวถนนเรื่อยๆ สามารถเจอร้านอาหารได้ตลอดทางค่ะ (ไม่ถี่ แต่ก็มีเยอะ)
รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลายด้วย สำหรับจานนี้เป็นข้าวหน้าแกงกะหรี่ไก่ ของเฮียตั้มค่ะ
จานนี้ของแอ๋มศรี นางชอบทานปลาแซลมมอนสุดชีวิต!
อูด้งเด็กน้อย ของคะน้าเอง จำได้ว่าโมเม้นท์นั้นคือขอซุปอุ่นๆ เพราะหนาวและเหนื่อย 5555
จบสิ้นมื้อดึก...พวกเราก็มีเรี่ยวแรงกันขึ้นมาอีกครั้งอย่างแสนวิเศษ
เดินต่อมายังร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่ออะไรไม่รู้ ที่มีดอกทานตะวันเป็นโลโก้ (พบเห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น)
อารมณ์เหมือนเดินโลตัสเอ็กซ์เพลสค่ะ เป็นตลาดสดห้องแอร์นั่นเอง
ที่ประทับใจก็คือ พนักงานชายเป็นคุณลุงที่พิการทางแขนและนิ้วมือค่ะ
นิ้วโป้งมือขาดเป็นแผลฉกรรจ์ แต่น่าชื่นชมที่ได้โอกาสให้ทำงาน และบริการดีมากด้วยค่ะ
เมื่อชำระเงินเรียบร้อย เฮียตั้มก็ทำกิจกรรมแมนๆ คือหยิบทุกอย่างใส่ถุง 55555
และนี่คือผลงานสุดทุ่มทุนสร้าง จากการเดินยามวิกาลไปซุปเปอร์มาร์เก็ตญี่ปุ่น วะฮ่ะฮ่าาาา!!!
อิ่มแล้ว...นอนได้ ฝันดี zzZZZ
-------------------------------------------------
ในที่สุด...คะน้าก็ได้พามา Check-In เพิ่มไปอีก 9 สถานที่
ใน "เกียวโต [Kyoto]" นี่เรา Check in กันไปเกินครึ่งทางแล้วนะคะ
สำหรับ Blog หน้า คะน้าจะพาไปเดินเที่ยวที่ "จ.นาระ" ค่ะ
จังหวัดเล็กๆ สุดคลาสสิค คะน้าได้ไปเพียงแค่ให้รู้จัก ชมให้ได้เห็นด้วยตัวเอง
ว่าจังหวัดเล็กๆ แต่อบอุ่นนี้ จะน่าอยู่อย่างไรบ้าง
ซึ่ง "จ.นาระ" ขึ้นชื่อเรื่องน้องกวาง ฝูงกวางที่เลี้ยงปล่อยให้อยู่ร่วมกับ
คนเมืองได้อย่างลงตัว (คล้ายๆ การอยู่ของฝูงลิงที่ จ.ลพบุรี บ้านเราค่ะ)
คะน้าขอฝากให้ติดตามไปเชียร์พวกเรากันต่อใน Blog หน้าด้วยนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อเค้าาาา
ถึงตรงนี้...คะน้าขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนเลยที่ติดตาม Blog คะน้ามาถึงตอนนี้ค่ะ
ขออภัยที่แต่ละ Blog เขียนออกมาช้าเหลือเกิน
สาบานว่า...คะน้างานยุ่งมากจริงๆ ค่ะ ธุรกิจกำลังไปได้สวยงามเลิศเลอ
ตามสโลแกนที่ว่า... "ทำงานหนัก เพื่อหาเงินเที่ยว และเปย์เครื่องสำอางค์" 55555
และใครที่อยากไปเดินเล่น ชิลๆ หลงๆ งงๆ แบบคะน้าบ้าง
สามารถสอบถามกันมาได้ที่ Comment Box ด้านล่างนะคะ
รวมถึงใครอยากจะชื่นชม ติชม อวยชมๆ
จะชมอะไรก็เขียนฝากถึงคะน้ากันได้เช่นกันค่ะ 5555555
เพจ >> https://web.facebook.com/TheLocationKana จิ้มๆ เลย >///<
ขอบคุณมากๆ นะคะทุกคนนนน~
>>> แล้วไปเช็คอินดูฝูงกวางที่ Nara ด้วยกันน้า <<<
คะน้าน้อย
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.15 น.