กลับมาพบกันอีกครั้ง...ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงนี้ขยันครับอาทิตย์ที่แล้วผมพาเที่ยวพม่ามาหมาดๆ วันนี้กลับมาชวนเที่ยวบ้านเรากันเองบ้าง


เปิดมาก็จั่วหัวใน Cover ว่า "น่าน" และ หนึ่งเดียวในโลก(หรือจะเรียกว่าจักรวาลก็ยังไหว) "ดอกชมพูภูคา"

คุณๆอาจจะคิดว่ามันยังเที่ยวกันได้อีกหรือเพราะ...เวลาก็เข้าสู่เดือนที่สองกันแล้ว เดือนที่อากาศร้อนเริ่มมาให้สัมผัสกายกันแบบรู้สึกได้ จนคุณๆคิดว่าอากาศหนาวได้พัดผ่านเราไปแล้ว และภาคเหนือหมดเวลาเที่ยวอีกต่อไป...

หยุด...อย่าคิดเช่นนั้น เพราะ วันนี้ 1twenty2 อยากจะขอยกมือค้านสุดตัว เพราะว่า "น่าน"หากรู้จักที่เที่ยวกันจริงๆ จะรู้ว่าที่นี่เป็นเมืองที่อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และที่สำคัญมีพืชพันธ์ไม้สำคัญระดับโลกที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ปีนึงจะบานก็แค่ปีละครั้งในเดือนกุมภาพันธ์นี้เท่านั้น

ที่สำคัญมีให้ชมอยู่แค่ที่บ้านเราเท่านั้น เอาละมาเที่ยวกับทริบค้นหา หนึ่งเดียวในโลก "ดอกชมพูภูคากันดีกว่าครับ" ตามผมมาได้เลย

http://pantip.com/topic/31583608


ทริบที่แล้ว พาเที่ยวพม่ามา หากใครยังอยากรู้ว่าเมืองเค้าน่ารักขนาดไหน เชิญชมรีวิวมาราธอน (3วันกว่าจะจบ เอิ๊กกก) ของผมได้ที่นี่เลยครับ



และหากอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยวแก่กัน เชิญมาทำความรู้จักกันได้ที่นี่นะครับ

https://www.facebook.com/likeone22ทริบนี้เกิดขึ้นจากทริบน่าน 2-3 ครั้งมาเล่าให้กันฟังนะครับ ไม่ใช่พึ่งไปมา เพราะเนื่องจากเดือนนี้จะเป็นเดือนที่คุณๆจะสามารถขึ้นไปชมกันได้เท่านั้น จึงไม่อยากให้คุณๆพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

เป้าหมายเราชัดเจนครับ ต้องการมาชมดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่าหายากที่สุดในโลก พันธ์หนึ่ง “ดอกชมพูภูคา" เดี๋ยวเราจะค่อยๆมาทำความรู้จักกันต่อครับ ก่อนอื่นอยากให้คุณๆรู้จัก น่านกันนิดนึงก่อน



น่าน…


เป็นจังหวัดตะวันออกสุดของภาคเหนือบ้านเรา คือเกือบจะค่อนมาทางอีสานตอนบนก็ว่าได้ เป็นจังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นท้องทะเลแห่งหุบเขา จากยอดเขาสูงจรดพื้นที่ราบเป็นแนวขนานไปกับลำน้ำน่าน และอีกประการที่มักมีคนหยิบมาพูดถึงว่าเป็นเมืองฝาแฝดพี่เมืองน้องกับ หลวงพระบาง สปป.ลาว ด้วย เหตุก็เพราะมีชายแดนตลอดแนวติดกันกับประเทศลาว มีด่านเข้าออกที่นี่ (จุดผ่านแดนถาวรสากลห้วยโก๋น-น้ำเงิน)และด้วยผู้คนก็ดี การค้าการขายก็ดี ที่มีกันสืบมาตั้งแต่อดีตเป็นร้อยๆปี ตั้งแต่ก่อนที่น่านจะเป็นส่วนนึงของอาณาจักรล้านนามาก่อนร่วมถึงการเป็นเมืองพุทธศาสนาด้วยกัน ทำให้วัดวาอารามต่างๆ มีการรับและส่งต่อวัฒนธรรมอันดีงามถึงกัน ตั้งแต่อดีตมา

น่าน หากเทียบกับเมื่อก่อนถือเป็นจังหวัดที่ไปไม่ยากอีกต่อไป เหตุผลง่ายมากครับ การเดินทางปัจจุบันมีบินตรงไปถึงน่านในชั่วพริบตาคือ Nokair หรือถ้าจะไปลงเชียงรายก็ถือว่าพอกล้อมแกล้มได้บ้างแต่ก็ยังใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมงในการขับรถ หรือนั่งรถประจำทางมาที่นี่ เพราะฉะนั้นหากจะให้ดีแนะนำบินตรงมาจะดีที่สุดครับ ราคาอาจจะแรงไปนิดแต่ถือว่าคุ้มค่าทุกบาทจริงๆ



การเที่ยวน่านให้ดีควรเผื่อเวลาไว้ซัก 3-4 วันโดยเฉพาะเส้นทางที่เราจะไปกันคือดอยภูคา-บ่อเกลือด้วยแล้ว มีเวลาเผื่อเดินทางย่อมดีกว่าครับ ก่อนออกไปผมอยากเริ่มต้นเที่ยวในเมืองกันก่อนเพราะในเมืองน่านเองมีที่เที่ยวน่าสนใจเยอะเลย

หากมีเวลายามเช้า แบบเช้าตรู่เลยครับอยากให้ เริ่มต้นเช้าแรกในการท่องเที่ยวที่นี่ก่อนเลย “วัดพระธาตุเขาน้อย" อันมีพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่าน อยู่คือ “พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน"ที่นี่ถือเป็นที่เที่ยวสำคัญที่ใครมาเมืองน่านสมควรจะแวะขึ้นมากราบพระหรือชมวิวเมืองน่านกันให้เห็นทั่วเมืองกันให้ได้ครับ



เป็น “พระพุทธรูปปางประทานพร" ยืนหันพระพักร์ออกไปทางทิศตะวันออก ตัววัดอยู่เป็นดอยเขาน้อย เป็นภูเขาขนาดไม่สูงมากนัก แต่วิวด้านบนต้องบอกว่าสุดยอดมากเลยทีเดียว

เพราะมองเห็นเมืองน่านไปไกลสุดสายตาจริงๆ

วิวยามเช้าบนนี้ถือว่าสุดยอด นอกจากได้ขึ้นมาสูดเอาอากาศดีๆเข้าปอดแล้ว ยังเหมาะมากๆที่จะได้เก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าให้เกิดแรงใจที่จะออกเดินทางได้อย่างดีครับ

จริงๆผมเคยเขียนถึงที่นี่ไปครั้งนึงแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่ผ่านมา ตอนมาน่านครั้งแรก กลับมาอีกครั้งก็ยังประทับใจเช่นเดิม ขอเล่าประวัติความเป็นมาขององค์พระกันหน่อยนะครับ

องค์พระปางที่เห็นเด่นเป็นสง่าราศีอยู่นี่ จัดสร้างขึ้นในปีพศ. 2542


สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติในวโรกาศ องค์พ่อหลวงของเราทรงครองราชครบรอบ 72 พรรษาขึ้นในปีนั้น

แม้ตัวองค์พระจะมีการผุกร่อนตามเวลา ทางวัดเองก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามจะบูรณะเอาไว้

แต่กำลังทรัพย์ก็ไม่พอจึงมีการตั้งตู้บริจาคไว้ในบริเวณองค์พระปางฯ ด้วยเช่นกัน

ใครแวะมาเที่ยวชมวิวรอบเมืองอย่าลืมทำบุญกันนะครับ เพื่อช่วยให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมกันต่อๆไป

มาต่อกันที่พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองน่านอย่าง “พระธาตุแช่แห้ง"


ถือเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนเนินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน บริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม

ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง ประดิษฐานอยู่ ณ อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร

องค์พระธาตุตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเตี้ย ๆ เป็นสีทองสุกปลั่ง สามารถมองเห็นได้แต่ไกล นับเป็นอนุสรณ์ของความรักและความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองน่านกับเมืองสุโขทัยในอดีต

พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่า หากได้เดินทางไป “ชูธาตุ"


หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมวัดพระธาตุแช่แห้งได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 06.00-18.00 น.



ผมมีโอกาสเข้าไปกราบและเก็บภาพที่นี่สองครั้งแล้ว

ทั้งสองครั้ง ได้ความรู้สึกแตกต่างกันไป อาจจะเพราะต่างช่วงเวลากันก็เป็นได้ แต่ที่ชอบมากๆคือบริเวณโดยรอบได้รับการดูแลเอาใจใส่ดีมาก

ส่วนตัวประทับใจทั้ง 2 ครั้งที่ได้ไปเยือน


ห้ามพลาดนะครับสำหรับใครก็ตามที่ไปน่าน ต้องแวะไปกราบขอพร พระธาตุแช่แห้งให้ได้ครับ

เที่ยวใจเมือง


การเที่ยวในตัวเมืองน่าน จะให้ดีถ้าไม่เดินเที่ยว ก็เลือกวิธีใช้จักรยานปั่นเที่ยว ก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะสมอย่างยิ่งนะครับ

เพราะที่เที่ยวแต่ละที่ในย่านใจเมืองไม่ไกลกันนัก เดินก็ได้ออกกำลัง ถีบจักรยานก็เพลิดเพลินใช้ได้เลย

แถวๆใจเมืองน่าน หรือจะเรียกว่าแถวๆผังเมืองเก่าของน่านนั้นเองครับ


ตรงนี้มีวัดสำคัญอยู่หลายวัด และวัดที่น่าแวะเที่ยวแวะชมกันเป็นวัดแรกคือ “วัดภูมินทร์"



วัดภูมินทร์ถือเป็นเป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครใจกลางเมืองเก่าของน่าน ดังปรากฏชื่อ ตำบลในเวียงในปัจจุบัน เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2139


สิ่งที่เป็นความโดดเด่นที่สุดของวัดนี้มีหลายอย่างหนึ่งในนั้นคือ เป็นวัดที่สร้างทรงจัตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาคขนาดใหญ่2 ตัว แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัว
ด้านหลังครับจะเห็นเป็นหางพญานาคทั้งสองยาวมาจริงๆ

ตรงใจกลางพระอุโบสถจัตุรมุข ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่4 องค์ หันพรพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย



ตอนเดินเข้ามาในอุโบสถ เราก็จะเจออีกสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดเลยก็ว่าได้นั้นคือภาพเขียน “ปู่ม่านย่าม่าน"



ปู่ม่านย่าม่าน หรือ จะเรียกกันจนติดปากว่า หนุ่มกระซิบ เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน อันเป็นผลงานของหนานบัวผัน


จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ปราณีตและเป็นภาพที่โดดเด่นประจำวัดภูมินทร์ โดยเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกระซิบสนทนา และมีชื่อเสียงว่าเป็นภาพ “กระซิบรักบันลือโลก"

และกลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองน่านที่ไปปรากฏอยู่ในสินค้าจำนวนมาก อาทิ เสื้อยืด, โปสการ์ด หรือแม้แต่ข้าวของแต่งบ้าน

ตอนผมไปก็ได้ซื้อเสื้อที่เด็กชายคนนึงวาดภาพนี้เป็นสีอะคริลิกลงบนเสื้อ ราคากับฝีมือถือว่าคุ้มสุดๆเลยครับ



ภาพเขียนเหล่านี้ ทางกรมศิลปากรก็ได้เข้ามาดูแล และบูรณะเอาไว้ให้คนรุ่นต่อๆไปได้ชื่นชมกัน

ถัดมาอยู่ใกล้ๆกัน และเป็นอีกสถานที่สำคัญของเมืองคือพิพิธภัณทสถานแห่งชาติน่าน แต่น่าเสียดายวันที่ผมไปเป็นวันจันทร์ซึ่งเป็นวันหยุดของพิพิธภัณทพอดี


ทำให้เข้าไปชมไม่ได้แต่ที่น่าชมก็คือในบริเวณรอบๆมีการปลูกต้นไม้เป็นแนวยาวเรียงกันสวยงามน่าแวะมาถ่ายรูปกันได้ครับ

และหากมาเมืองไหนๆแล้วไม่ได้ไปแวะไหว้ศาลหลักเมืองกันก็เห็นจะมาไม่ถึงจริงไหมครับ “ศาลพระหลักเมืองน่าน" อยู่ในเขต “วัดมิ่งเมือง" วัดสำคัญอีกแห่งของเมืองน่าน


วัดมิ่งเมืองถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2400 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา วันที่ 14 พฤศจิกายน 2510

ในอดีตตรงบริเวณวัดร้างด้านเหนือจากซากวิหารมี เสาพระหลักเมืองน่าน ซึ่งเป็นไม้สักทองเป็นท่อนซุงขนาดใหญ่ 2 คน โอบรอบฝังอยู่กับพื้นดิน


คนเมืองน่านในสมัยโบราณเรียกขานว่า เสามิ่งเมือง หรือ เสามิ่ง แต่ดั้งแต่เดิม เสามิ่งเมือง มีลักษณะเป็นไม้สักทองขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 ซ.ม. สูงประมาณ 3 ม. หัวเสาเกลาเป็นรูปดอกบัวตูม

ตัวเสาฝังลงกับพื้นโดยตรงไม่มีศาลครอบ จนกระทั่งในปี 2506 เมืองน่านได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ แม่น้ำน่านไหลเข้าท่วมถึงเสามิ่งเมือง ตัวเสาอายุร้อยกว่าปีที่เริ่มผุกร่อนจึงโค่นล้มลง



ต่อมาทางวัดมิ่งเมืองร่วมกันกับชาวน่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกันนำเสามิ่งเมืองน่านต้นเดิมที่โค่นล้มลงนั้นมาเกลาแต่งใหม่

และสลักหัวเสาเป็นพระพรหมสี่หน้า รวมทั้งสร้างศาลทรงไทยจตุรมุขครอบเสามิ่งเมืองต้นเดิม

โดย มีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเป็นองค์ประธานประกอบพิธีตั้งเสาหลักเมืองน่าน เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2516

ส่วนศาลหลักเมืองน่านหลังที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้สร้างขึ้นในปี 2548 หลังจากที่ศาลหลังเก่าชำรุดทรุดโทรมลงมาก ทางราชการรวมทั้งประชาชนชาวน่านจึงได้ร่วมใจกันสร้างศาลหลักเมืองหลังใหม่นี้ขึ้น



โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงยกยอดพุทธประทุมสวมเศียรท้าวมหาพรหมยอดศาลหลักเมืองน่าน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551

สำหรับตัวอุโบสถหลังใหม่นี้เป็นรูปแบบอุโบสถล้านนาร่วมสมัย และการก่อสร้างตัวอาคารเป็นฝีมือของสล่า (ช่าง) พื้นบ้านเมืองน่าน



ส่วนลวดลายปูนปั้น เป็นฝีมือของสล่า (ช่าง) สกุลเชียงแสนโบราณ ซึ่งมีนาย เสาร์แก้ว เลาดี เป็นนายช่างใหญ่มาทำการปั้นลวดลาย ใช้เวลาปั้นนานถึงประมาณ 5 ปี

ใครมาที่นี่สมควรอย่างยิ่งที่จะมาเที่ยวชมความงดงามของอุโบสถหลังใหม่นี้และ เข้าไปกราบศาลหลักเมืองเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองกันครับ

ส่วนตัวผมว่างานปูนปั้นที่นี่สวยงามมาก ไม่แพ้ที่ไหน

ก่อนจะไปเที่ยวกันต่อ ขอพาคุณๆ แวะทานอาหารร้านดังของชาวน่านกันหน่อย ร้านนี้มีสไตล์การตกแต่งไม่เหมือนใครออกแนวสไตล์คาวบอย ก็ได้อรรถรสในการกินเเปลกไปอีกแบบ และตัวของอาหารเองก็เหมือนผสานเอารสชาติของอาหารอีสานกับ อาหารเหนือมารวมกัน ร้านนี้คือ “ปูสม เจ้าเก่า" ชื่อเสียงการันตีกันได้เลยเพราะเปิดมานานเกิน 40 ปีแล้วเพราะฉะนั้นอยู่มานานได้ขนาดนี้อาหารรสชาติต้องอาหารอร่อยจนมีป้ายหมึกแดงการันตีอย่างที่เห็น ของแบบนี้ต้องพิสูจน์ครับ



ไม่นานอาหารทั้งหมดก็วางอยู่บนโต๊ะเรา ที่นี่การตกแต่งจะเน้นอารมณ์คาวบอย แต่รสชาตินี้ถึงเครื่องถึงรสทุกอันที่ผมชอบสุดก็น่าจะเป็น ไส้กรอกอีสานกับ ลาบหมูคั่ว(ขออภัยถ่ายไม่ทันด้วยความหิวจัดกันจนเสียรูปเลยไม่ถ่ายมาครับ)เมนูนี้ใครมาต้องสั่งเพราะรสชาติต่างจากลาบหมูทั่วไป รสชาติถึงเครื่องถึงรสดีมากหรืออย่างเมนูต้มแซ่บก็แซ่บถึงอกถึงใจดีทีเดียว เป็นอีกร้านที่แนะนำให้มากินกันครับ หากใครอยากกินอาหารพื้นเมืองแท้ๆ ที่นี้ก็ใช่เลย

ที่พัก


และที่อยากแนะนำหากเวลาที่คุณๆมาเที่ยว ณ.ตอนนี้น่านมีที่พักมากมายหลายให้เลือกแล้วในปัจจุบัน แต่ถ้าคุณมาและไม่อยากรีบเร่งต้องตื่นเช้ามากเป็นพิเศษเพื่อขึ้นไปชม พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าที่วัดพระธาตุเขาน้อยละก็ แนะนำที่นี่เลยครับ “ศศิดารา รีสอร์ท"



รีสอร์ทเก๋ๆสไตล์บูทีค อยู่ด้านล่างก่อนขึ้นพระธาตุไม่ถึง 500 เมตรไปมาง่ายและสะดวกมาก ห้องพักก็มีหลากหลายระดับราคา

ผมจะพาไปดูห้องดีๆ ของเค้าดูกันครับ Type นี้คือ Deluxe Room ราคาน่าโลว์อย่างตอนที่เราไปพัก ก็ประมาณ พันกลางๆครับ ห้องก็กว้างขวางดีทีเดียว



มีโซฟาให้นั่งนอนดูทีวีได้สบายๆ ห้องใหญ่กว้างขวาง มากทีเดียว ที่สำคัญใหม่มากด้วย



มีทีวี LCD/ DVD พร้อมให้ใช้ เตียงใหญ่ นอนสบายมาก



ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย นับว่าหรูหราเกินราคาเลยทีเดียวละครับ คืนนั้นจำได้ว่าหลับสบายแอร์เย็นช่ำจนถ้าไม่ตั้งนาฬิกาปลุกจะไม่ตื่นเอาทีเดียว

เอาล่ะเที่ยวในเมืองกันพอหอมปากปอมคอกันแล้วจริงๆในตัวเมืองยังมีที่เที่ยวอีกหลายๆแห่งครับ หากมีโอกาสมาน่าน มาปั่นจักรยานกัน ครึ่งวันก็รอบเมืองแล้วละครับ



ถึงเวลาที่ ผมจะพาออกมาเที่ยวรอบนอกกันบ้าง มาที่ “หอศิลป์ริมน่าน" ใครจะคิดว่าจังหวัดเล็กๆแห่งนี้จะมีหอศิลปะที่เก็บรวบรวมผลงานของศิลปินชาวน่านแต่ดั้งแต่เดิมและ

รวมถึงยังคงมีการแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินยุคปัจจุบันอยู่เรื่อยๆ



เข้ามาด้านในจะพบอาคารขนาดหลังใหญ่มี 2 ชั้น จัดแสดงนิทรรศการภาพทางศิลปะอันงดงามมากมาย รวมถึงมีประติมากรรม และสื่อผสมต่างๆ ที่เป็นศิลปะร่วมสมัยจัดแสดงอยู่ด้วย

หอแสดงงานศิลปะขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 13 ไร่ติดชิดริมแม่น้ำน่านเป็นพื้นที่ของ อาจารย์ วินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่านชื่อดังที่รักในศิลปะ อย่างที่บอกไปที่นี่เป็นแหล่งรวมศิลปะ และวัฒนธรรมของจังหวัดน่าน ภายในพื้นที่หอศิลป์ฯ มีเฮือนหนานบัวผัน ที่จัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายจิตกรรมฝาผนังเมืองน่าน

ภายในห้องศิลป์จะจัดแสดงผลงานร่วมสมัย ที่เปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เพราะฉะนั้นใครรักงานศิลปะสามารถแวะไปเที่ยวชมได้ตลอดเวลา ผมไปมา 2 ครั้งได้ดูงานศิลปะดีๆ ทั้งสองครั้งครับ อยากให้พวกเราได้ลองไปกันการชมงานศิลปะถือเป็นความรื่นรมย์ และประเทืองปัญญาให้จินตนาการที่ดีกับทุกคนครับ

อีกด้านนึงเป็นหอศิลป์ขนาดเล็กเป็นห้องจัดนิทรรศการหมุนเวียนเช่นกัน อย่างครั้งที่ผมไป พอดีกำลังจัดแสดงผลงานของ ศิลปินที่ พวกเราคนไทยน่าจะทั้งประเทศเคยผ่านตาผลงานของอ.ประสิทธิ์ ชนิตราภิรักษ์ มาหมดแล้ว


อ.มีตำแหน่งเป็นผู้ชำนาญการแกะโลหะ "จิตรกร" เบื้องหลังภาพพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ซึ่งเป็นภาพประธานของธนบัตรด้านหลังของแบ็งคเรา เพราะ ผลงานที่เป็นที่รู้จักกันดี นั้นคือลวดลายของธนบัตรหรือ เงิน ที่พวกเราใช้จับจ่ายใช้สอยกันทุกวันครับ

เห็นไหมผมบอกแล้วว่าเป็นงานศิลปะที่พวกเรารู้จักกันดีสุดๆเลย



ผลงานทั้งหมดจึงเป็นภาพพิมพ์แกะโลหะ ลักษณะก็จะคล้ายๆกับงานบนธนบัตรที่ อ.ทำแต่ที่เห็นคือความสวยงามและเรื่องราวที่แตกต่างออกไป

ถัดมาเป็นห้องจัดนิทรรศการถาวรครับ ณ.ตรงนี้เจอกับ อ.วินัย ปราบริปู พอดีแกก็เลยพาชมและทัวร์ห้องแสดงงานของ ศิลปินที่วาดภาพ ปูหม่านย่าหม่านนั้นเอง เรียกห้องนี้ว่า เฮือนหนานบัวผัน ผลงานทั้งหมดเป็นภาพถ่ายที่ทางวัดอนุญาติแล้วให้สามารถถ่ายเก็บบันทึกจากที่วัดภูมินทร์มาได้


ครับผมเองไม่ได้เก็บภาพภายในมา เพราะฉะนั้นหากใครอยากชมแวะเวียนไปชมกันที่ ''หอศิลป์ริมน่าน" กันได้นะครับ



ก่อนจากพาเที่ยวชมรอบๆกันก่อนที่นี่บรรยากาศดีมาก อยู่ริมแม่น้ำน่าน ลมจึงพัดเย็นตลอดเวลา



ขนาดตรงแถวๆจุดชมวิว ก็ยังมีงานศิลปะลอยตัว ปั้นเป็นรูปคล้าย ปูหม่านย่าหม่าน เห็นแล้วชอบครับ ศิลปินมีอารมณ์ขันและเก่งมากเท๕นิคขึ้นรูปเป็นโลหะไม่ใช่ของง่ายเลยทีเดียว



ตอนผมไปเจอเด็กๆมาทัศนะศึกษาด้วย มาจากต่างจังหวัดกันด้วย น่าดีใจแทนที่เด็กๆได้มีโอกาส ได้ชื่นชมภาพเขียนที่มีคุณค่าเหล่านี้ โดยไม่ต้องวิ่งเข้ามาใจกลางเมืองใหญ่ๆ



ถือเป็นการสร้างเสริมจินตนาการของเด็กๆได้ดี อนาคตไม่แน่เราอาจจะมีจิตรกรที่มีชื่อเสียง จากเมืองน่านก็เป็นได้นะครับ

ได้เวลาออกจากเมืองกันต่อครับ เส้นทางสุดท้ายที่เราจะไปกันก็คือ ดอยภูคาและปิดท้ายที่ บ่อเกลือตามาเลย

เส้นทางขึ้นดอยภูคาไม่ได้ยากเย็นครับ ช่วงที่เราไป ขับรถขึ้นไปง่าย ถนนดีแม้จะแคบสักหน่อยเพราะเป็นถนน 2 เลนแต่ก็วิ่งไปสบายๆ วิวสองข้างทางสวยงามประมาณนี้



ยิ่งขึ้นเขาไปก็ยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ ชอบมากๆ

ไม่นานเราก็ถึงที่ๆเราหมายมั่นมา คืออุทยานแห่งชาติภูคา



บนนี้มีที่พัก หากใครอยากมาพักก็จองตรงกับเว็บอุทยานแห่งชาติได้เลย



ผมเดินกันขึ้นไปจนถึงจุดที่ต้นภูคาปลูกอยู่ แต่ที่น่าเสียดายคือ ดอกภูคาร่วงไปหมดแล้วณ.ตรงนั้น เอาละสิยังไงล่ะเนี่ย

สุดท้ายได้ตำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่า ด้านบนร่วงหมดแล้วละครับ เพราหนาวกว่าด้านล่างเลยบานเร็ว ถ้าจะดูให้ตรงขึ้นไปเส้นทางไปบ่อเกลือจะมีป้ายบอกไว้ ได้ยินตามนั้นเราก็ขึ้นรถบึ่งกันไปตามจุดหมายปลายทางนี้และแล้วเราก็เจอป้าย บอกทางจนได้ ห่างออกมาไม่ถึง 3-5 กิโลเมตรโดยประมาณครับเราลงจากรถคว้ากล้องลงไปกันเพื่อไปชมใกล้ๆ กัน

และแล้วก็เจอ หนึ่งเดียวในโลก "ดอกชมพูภูคา"


หลังจากตามหามานานกว่า 800 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ และแล้วก็ได้พบครับ ดอกจะสีชมพูอมขาว ออกดอกยาวเป็นพวง เรียงกันสวยงาม

มารู้จักดอกไม้พันธ์หายากที่สุดพันธ์นึงของโลกกันสักนิดครับ


ต้นชมพูภูคาเป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึงราวๆ 10-25 เมตร เปลือกลำต้นเรียบสีเทาน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนก ยาว 30-80 ซม.

โคนใบรูปลิ่มหรือกลม ปลายใบแหลม ดอกสีขาว-ชมพู คล้ายรูประฆัง ออกเป็นช่อที่ปลายยอด



เมือก่อนจะว่าไปก็ถือเป็นพันธ์ไม้หายากยิ่งในโลกอยู่แล้ว คือย้อนไปหลายสิบปีก่อน

พบเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศจีน ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ไต้หวัน และ ในประเทศไทย พบที่ดอยภูคาในจังหวัดน่าน ขึ้นตามที่ลาดชันในป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 1200-1500 เมตร ในต่างประเทศพบจนถึงระดับความสูง 1700 เมตร แต่จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปแล้ว...

จนกระทั่ง ดร.ธวัชชัย สันติสุข นักพฤกษศาสตร์ ได้ค้นพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่านในปี 2532 และนั่นทำให้เรื่องราวของชมพูภูคากลายเป็นที่สนใจของสาธารณะชนขึ้นมา



ต้นชมพูภูคา จึงเป็นต้นไม้พันธุ์หายาก ที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก และปัจจุบันนี้มีรายงานการพบเพียงแห่งเดียวในโลกที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา และยังไม่มีรายงานว่าตรวจพบเจอที่ไหนอีกเลย

วันที่ได้ไปชมมี คุณครูพาเด็กๆจากจังหวัดอื่น ขับรถขึ้นมาชมดอกชมพูภูคากัน ถึงบนนี้ คุณครูบอกว่าอยากให้เด็กๆได้ชมด้วยตาตนเองดีกว่าจะดูแต่ภาพหรืออ่านจากหนังสือ และไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้ชมดอกไม้ชนิดนี้ไปอีกนานแค่ไหน



เป็นคุณครูที่เจ๋งมากๆครับในสายตาผม เพราะรถก็ดี ค่าน้ำมันก็ดี คุณครูออกเองหมดเลย เพราะอยากให้เด็กๆได้เรียนรู้จากธรรมาชาติอย่างที่มันเป็นจริงๆ

หลังจากตรงนี้เราก็ได้เวลาไปต่อยังที่สุดท้ายแล้วครับ อ.บ่อเกลือ

ที่อำเภอนี้ก็มีที่สุดของประเทศเราแอบซ่อนอยู่เช่นกัน


ผมมากี่ครั้งก็ตกหลุมรักที่นี่เสมอ ชอบทั้งบรรยากาศและ ที่พัก ที่นี่มาก ก่อนจะพาไปพักกันขอพาไปเที่ยวต่อก่อนกับ

ที่เที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของ อำเภอนี้นั้นก็คือ บ่อเกลืออายุกว่า 800 ปีมาแล้ว

ผมไปถึงชาวบ้านก็กำลังใช้งานบ่อเกลืออายุร่วม หลายร้อยปีอยู่พอดี บนท่านยืนนั้นเค้าห้ามผู้หญิง ขึ้นไปเป็นอันขาด


เป็นความเชื่อสืบทอดกันมาหลายร้อยปีมาแล้ว



ประวัติที่ค้นๆมาได้คือ


บ่อเกลือมีอยู่สองบ่อ คือ บ่อเกลือเหนือ และ บ่อเกลือใต้ โดยบ่อเกลือเหนือมีขนาดใหญ่ มีโรงต้มเกลืออยู่หลายโรง ส่วนบ่อเกลือใต้ มีโรงต้มเกลือน้อยกว่า ทั้งสองบ่อชาวบ้านยังใช้วิธีการต้มเกลือแบบโบราณในโรงเกลือที่ปิดมิดชิด ภายในมีเตาขนาดใหญ่ขึ้นรูปจากดินเหนียวสำหรับวางกะทะใบเขื่อง หรือกระทะแขวนตะกร้าไม้ไผ่สานใบเล็กๆ เพื่อใช้สำหรับบ่อเกลือ ชาวบ้านที่บ้านบ่อหลวง ทำการต้มเกลือสินเธาว์มาตั้งแต่โบราณหลายร้อยปีมาแล้ว



ตรงนี้คือเกลือที่พร้อมจำหน่ายผสมไอโอดีนเรียบร้อย เพื่อให้ครบถ้วนเช่นเดียวกับเกลือทะเลนั้นเอง

มาถึงที่พักสุดท้ายที่ห้ามพลาดหากคุณๆมาที่ อ.บ่อเกลือแห่งนี้ "บ่อเกลือวิว รีสอร์ท"



ที่พักที่วางตัวอยู่บนหุบเขา ที่อากาศเฉลี่ยที่นี่ 15-25 องศาเกือบทั้งปี เพราะอยู่ในหุบเขาแบบนี้ละครับ



ปล.เดี๋ยวออกไปทำธุระเเป๊บนึงน้าาาจะกลับมารีวิวที่พักแห่งนี้ให้ดูกันต่อครับ

มาต่อกันเลย ...


ที่พักที่ผมยกให้ว่าสวยสุดๆในอำเภอนี้ก็ว่าได้ "บ่อเกลือวิว รีสอร์ท" แถมเจ้าของเป็นคนน่านแท้ๆที่ในอดีตเป็นเชพใหญ่ในโรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯมาก่อน
ก่อนที่บางสิ่งในตัวแกเรียกร้องให้กลับมาทำกิจการเล็กๆ ของตัวเองที่น่าน โดยมีหุ้นส่วนที่สนิทและไว้วางใจในตัวพี่เค้าร่วมลงทุนด้วยกัน

เรื่องราวของแกอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่อยู่ห่างไกลบ้าน ต้องมาสู่ชีวิตในเมืองหลวงอาจจะอยากกลับบ้านเริ่มต้นสร้างฝันของตัวเองบ้างก็ได้นะครับ

มาดูที่พักผมกันบ้าง หลังนี้คือ บ่อเกลือ 01 หลังกระท่อมปลายนา ของแท้ อยู่สุดขอบนา ข้อดีคือวิวที่ได้สวยมากๆ ปลีกวิเวก บรรยากาศกลางแปลงทุงนาขั้นบันได้สวยสุดๆ



วิวจากที่พัก หากมองกลับมาที่ตัวรีสอร์ท



บรรยากาศภายในห้องพักครับ ที่นี่อากาศเย็นจนแอร์ที่เห็นไม่ต้องใช้เลย ที่ต้องใช้จริงๆคือผ้าห่มเท่านั้น



สิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนขาดแค่ความบันเทิงแบบคนเมืองคือ โทรทัศน์ dvd อะไรแบบนี้ละครับ ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆก็คือผมว่ามาถึงขนาดนี้สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นแต่อย่างใดครับ

มาดูห้องอาหารกันบ้าง



ห้องอาหารที่นี่ ตกแต่งสวยงามน่านั่งรับประทานอาหารไป ชมวิวไป อย่างยิ่ง



ตัวอาหารเองลงเป็นเชพใหญ่มาดูแลกิจการ อาหารย่อมพิถีพิถันอยู่แล้วแน่นอน


ที่นี่ของขึ้นชื่อที่สุดที่ผมไปทีไรก็ต้องสั่งก็คือ ไก่ย่างมะแขว่น



ยำผักกูด รสชาติแซ่บมากก


และอีกหลายเมนูล้วนแต่อร่อยและผักสดใหม่มากครับ

มาถึงเช้าสุดท้ายก่อนลากันแล้วครับ



ผมเก็บภาพยามเช้านี้เป็นอันดับท้ายๆก่อนจะลากลับกรุงเทพฯ ด้วยหัวใจเบิกบาน เติมเต็ม และอิ่มอกอิ่มใจ



การเดินทางมักให้อะไรกับนักเดินทางเสมอ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน

หากความประทับใจนั้นยังตราตรึงอยู่เสมอ ....ทุกสิ่งๆ ก็จะถูกดึงกลับมาอยู่ในความทรงจำของเราได้ทันที

ทริบนี้ รีวิวยาวววววเชียวล่ะ น่าจะพอใช้เป็นตัวกระตุ้นต่อมเดินทางของคุณได้บ้าง


น่าน...จังหวัดที่อยู่ติดชายแดนเหนือตอนบนของไทยเรา มีอะไรมากมายกว่าที่คุณคิด



ทั้งวิถีชีวิต ทั้งธรรมชาติ ดอกไม้หนึ่งเดียวในโลกก็อยู่ที่นี่ อากาศที่ดีและบริสุทธิ์ ยังรอทุกๆคนอยู่ครับ


หวังว่าทริบนี้คงจะช่วยให้คุณๆได้ลองสร้างเส้นทางการเดินทางไปยังที่นี่กันดูบ้างนะครับ



แล้วคุณจะรู้ว่า น่านสวยงามกว่าที่เห็นในรีวิวนี้เยอะแยะเลยทีเดียวครับ


ขอบคุณสำหรับผู้อ่านทุกๆคนที่ติดตามจนถึงตรงนี้ จนกว่าจะพบกันใหม่ รีวิวหน้า ครับ



*** ดอกชมพูภูคา จะบานกันตั้งแต่ประมาณเดือนนี้ กุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคม ของทุกปี หากจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้ไปเห็นด้วยตาตนเองต้องรีบวางแผนแล้วนะครับ ผู้สนใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เทศบาลตำบลปัว โทรศัพท์ 0 5479 1495 และ ททท. สำนักงานแพร่ 0 5452 1118 หรือที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โทรศัพท์054-701 000ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นนะครับ ดีใจที่ชอบน่านครับ อยากให้ลองไปเที่ยวกันแล้วจะติดใจอยากกลับไปอีกแน่ๆเลย

Piyapong Chantong

 วันพฤหัสที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.29 น.

ความคิดเห็น