Peggy's Cove Fisherman Village อ่าวคุ้งวิมาน จันทบุรี

อย่างที่เคยเล่าในโพสต์ก่อนหน้านี้หละค่ะว่า เรามาเที่ยวจันทบุรีกัน 3 วัน 2 คืน เหตุผลหนึ่งคือ มาฝึกขับรถออกต่างจังหวัด และอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ว่าทำไมต้องเป็น "จันทบุรี" ก็คือ เราได้ Complimentary เป็นห้องพัก 1 คืน, อาหารเย็น 1 มื้อ และกิจกรรมย้อมเสื้อคราม จาก Peggy's Cove Fisherman Village อ่าวคุ้งวิมาน จันทบุรี ในโครงการ Blogger Matching ของ Read me นี่หละค่ะ

Light House Bar&Grill

แน่นอนที่สุดค่ะ เราก็มีหน้าที่ รีวิว ตามเงื่อนไขของโครงการ Blogger Matching แต่การที่จะรีวิวว่าดี หรือไม่ดี เราว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยมนะคะ เอาเป็นว่า เรามาถ่ายทอดประสบการณ์การใช้บริการที่ได้รับมาเล่าสู่กันฟังดีกว่า ส่วนความเชื่อนั่น เป็นเรื่องส่วนตัว จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นก็อีกเรื่อง ดีของเราอาจจะไม่ดีของท่าน ถูกใจท่านอาจจะไม่ถูกใจเรา เราว่าเอาไว้เป็นข้อมูลการตัดสินใจน่าจะดีกว่า

โต๊ะด้านนอกอาคาร ให้บรรยากาศชายทะเลไปอีกแบบหนึ่ง

มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ หลังจากที่เราเช็คอินห้องพักเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงมานั่งกินกาแฟรอทำกิจกรรมเสื้อย้อมคราม ซึ่งเมื่อเสร็จกิจกรรม ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นพอดี เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราขอไปสำรวจร้านอาหารที่จะเป็นดินเนอร์สุดเก๋ของเราวันนี้กันก่อนเลย

ร้านอาหารของ Peggy's Cove Fisherman Village แห่งนี้ชื่อ Light House Bar & Grill ค่ะ ใช่ค่ะ Lighthouse ที่แปลว่า ประภาคาร นั่นหละค่ะ เพราะที่ Peggy's Cove Fisherman Village แห่งนี้ ได้คอนเซปมาจากหมู่บ้านชายทะเลที่แคนาดาค่ะ ดังนั้น หมู่บ้านชายทะเลก็ต้องมีให้พร้อม แน่นอนว่าต้องมีประภาคาร แต่ส่วนตัวแล้วเราว่า ตัวประภาคารนั่น มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านกาแฟ Coffee Cove ไปเสียแล้ว แต่ส่วนของห้องอาหาร Lighthouse นี้น่าจะจำลองมาจาก โรงนา (ภายนอก) แต่ภายในให้บรรยากาศของประภาคารได้สบาย ๆ

โต๊ะด้านนอก ชั้นล่าง ริมถนนติดกับชายหาด

ภายในประดับข้างฝาเป็นลายก้อนหิน เหมือนประภาคารที่ใช้ก่อนหินเรียงต่อกัน

ที่บอกว่าด้านใน ถือว่าเป็นประภาคารได้เลยนั่น เพราะว่า ภายในประดับข้างฝาเป็นลายก้อนหิน เหมือนประภาคารที่ใช้ก่อนหินเรียงต่อก่อกันขึ้นเป็นอาคารขนาดสูง ใช้ส่องไฟให้ทิศทางแก่คนเรือ และอีกนัยหนึ่งคือใช้สำหรับมองไปในทะเลระยะไกล เพื่อมองหาเรือที่ขอความช่วยเหลือ หรือผู้ประสบภัยทางทะเล อาหารหลังนี้จึงมีหน้าต่าง และกระจกเยอะมาก มองออกไปได้บรรยากาศของการมองออกไปนอกประภาคาร ยิ่งตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกเหมือนตอนนี้ด้วยแล้ว โรแมนติกชะมัด

การตกแต่งภายในร้านอาหาร Lighthouse Bar&Grill

ห้องอาหารถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกอยู่ด้านใน เป็นลักษณ์ของห้องอาหารขนาดใหญ่ กว้าง แบ่งเป็นโต๊ะ ประมาณ 50 ที่นั่ง ตกแต่งด้วยอุปกรณ์ต่า่ง ๆ ของชาวประมง มีทั้ง สุ่ม และภาพประภาคารในแบบต่าง ๆ เพดานสีน้ำตาลส้ม ตัดกับผนังสีฟ้าน้ำทะเล ให้บรรยากาศที่เข้ากับชายทะเลในยามพระอาทิตย์ใกล้ตกที่หน้าประภาคารได้เป็นอย่างดี

ห้องอาหารด้านใน ห้องใหญ่ ประมาณ 50 ที่นั่ง

บรรยากาศในห้องอาหารด้านใน

หน้าต่างกระจกมีให้เห็นแทบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านทีหันหน้าเข้าหาทะเล

อีกห้องหนึ่งเป็นห้องขนาดเล็กลงมาหน่อย เป็นห้องขนาดประมาณ 30 ที่นั่ง ปูพื้นด้วยปาเก้ลายไม้กระดาน และข้างฝาทาสีขาว ประดับด้วยโคมไฟระยะแบบบ้านในยุโรปยุคกลาง เฟอร์นิเจอร์สีขาวฟ้า ให้บรรยากาศอบอุ่น มีหน้าต่างโดยรอบ ในวันที่เราไปมีแขกมาใช้บริการเต็ม แต่ไม่มีเสียงบ่นในเรื่องการให้บริการ หรือความล่าช้าของอาหารเลย อาหารส่วนใหญ่ที่ขายมีทั้งอาหารอิตาเลี่ยน และอาหารไทย รวมถึงซีฟู้ดต่าง ๆ อีกหลายรายการ

ห้องที่จำลองบรรยากาศอบอุ่นภายในประภาคาร

เราได้โต๊ะที่ห้องนี้ แต่ด้วยความที่ห้องมันเต็มเลยไม่ได้มุมที่ดีที่สุดของห้อง แต่มุมที่เรานั่งก็ถือว่าสวยงามใช้ได้อยู่ เราสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้จากโต๊ะอาหาร แต่น่าเสียดายที่การวางสายไฟริมหาดทำให้เสียทัศนวิสัยได้ขนาดนี้

โต๊ะแบบโซฟาครึ่งวงกลม

ส่วนนี่คือโต๊ะเราค่ะ หมายเลข 13 Lucky Number เสียด้วย

เราได้โคํะกลางห้อง ด้านข้างติดหน้าต่างทำให้มองเห็นวิวทะเลด้านนอก

ไฟประดับผนัง และภาพประภาคาร

กับแสงอุ่น ๆ ตอนพระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า

เก็บภาพบรรยากาศภายในห้องอาหาร ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ

อาหารจานแรกที่นำมาเสิร์ฟให้เราคือ "ลาบปลาแซลมอน" เป็นการนำปลาแซลมอนมาทอดกรอบ แล้วยีเนื้อปรุงคลุกมาในเครื่องลาบ โรยสารแหน่และกินเคียงกับแตงกว่าสดหั่นชิ้นยาววางมาด้านข้าง หน้าตาหน้ากินที่เดียว สีสันสวยงาม ให้ความสดของผักและเนื้อปลาที่นำมาปรุง

"ลาบปลาแซลมอน" จานนี้ กินค่อนข้างง่าย เพราะมีกลิ่นของข้าวคั่วอ่อน ๆ เท่านั้น จึงถูกกลิ่นและรสของหอมแขกกลบไปสักหน่อย แต่เนื้อปลาที่ทอดกรอบและยีมาเป็นชิ้นเล็ก ให้ความรู้สึกกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน เหมาะกับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย อีกทั้งให้รสชาติที่ไม่ได้เผ็ดร้อนจนเกินไป จึงน่าจะเป็นอาหารที่เหมาะกับคนไทยที่ไม่นิยมอาหารรสจัด หรือชาวต่างชาติที่ไม่เน้นรสจัดจ้านเท่าที่ควร

จานต่อมาเป็นต้มยำทะเลน้ำข้น สีสันสวยงาม น้ำดูข้นน่ากิน เช่นเดียวกับ เนื้อปลาหมึก กุ้ง และปลา ที่ตักดูแล้วดูสด โรยด้วยผักสีเขียวตัดสีกับน้ำต้มยำอย่างน่ากิน

ต้มยำทะเลน้ำข้น อุดมด้วยหมึกและกุ้ง

จานนี้ได้ความหวานมันของกะทิ นมสด เครื่องแกง และความสดของวัตถุดิบจริง ๆ ปรุงมาได้รสชาติเข้มข้น และไม่เผ็ดจนเกินไป ปลาหมึกสดจนกัดกรุบ กุ้งเนื้อแน่น ๆ ตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดกำลังกินกับต้มยำ เนื้อปลากะพงที่ไม่ร่วนซุย แต่ซับน้ำต้มยำเอาไว้อย่างได้รส ซดได้อย่างคล่องคอทีเดียว กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยค่ะ

จานต่อมาเป็นของขึ้นชื่อ เมืองจันทน์ นั่นคือ หมูชะมวง หน้าตาสีสันดูเข้มข้น ลองตักน้ำดูก็ข้นหอม เนื้อหมูเป็นส่วนที่ติดหนังและมัน แต่ก็ไม่ได้มีมันมากจนเอียนเลี่ยน จนมีมันลอยฟ่อง

รสโดยธรรมชาติของแกงหมูใบชะมวง หรือหมูชะมวงนั้น ค่อนข้างหวาน ซึ่งทางร้าน Lighthouse ปรุงได้ตอบโจทย์ของอาหารจานนี้ได้ดีทีเดียว เนื้อหมูที่เคี่ยวมาดูไม่เละ ให้รสชาติหนึบหนับด้วยความแน่นของเนื้อหมู รสชาติหวานนำแต่ไม่มันเลี่ยนคลุกกินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยล้ำ ถึงเนื้อหมูจะติดหนังหมูและมัน แต่ส่วนที่เป็นหนังหมูถูกปรุงมาจนเปื่อยนุ่ม ให้ผิดสัมผัสแบบเดียวกับเยลลี่ จึงกินได้คล่องคอ ถ้าไม่คิดได้ว่าอาจจะลงพุงไปเสียหน่อย จานนี้ได้ข้าวสวยร้อน ๆ มาด้วยหละแหล่มเลย

แกงหมูใบชะมวง หรือหมูชะมวง

จานถัดมาแม้นดูจะผ่าเหล่า ผ่ากอไปเสียหน่อย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีเยี่ยม เพราะดูจะเข้ากับบรรยากาศเมืองนอกกะเขาเสียหน่อย นั่นก็คือ พอร์คชอป ที่เสิร์ฟมาบนเขียงไม้ขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องเคียงเป็นมะเขือเทศราชินีผัดกับกระเทียม และมันบด พร้อมด้วยซอนไวน์แดงเข้มข้น

พอร์คชอป ซอสไวนฺ์แดง

การจัดจานออกมาอย่างสร้างสรรค์และสวยงาม ถึงจะดูอุปกรณ์จานชามเยอะไปบาง แต่ขนาดของเขียงไม้ก็ช่วยให้ดูไม่อึดอัด มันบดที่ใส่มาในถ้วยซุปเนื้อเนียนนุ่ม ให้รสชาติหวานมันแบบที่ไม่ต้องเติมเกลือป่นลงไปตัดรสแต่อย่างใด มะเขือเทศราชินีและกระเทียมที่ทอดมาสุกกำลังดี และยังคงรสชาติโดยธรรมชาติของวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี ส่วนซอสไวน์แดงนั่น เข้มข้น หอม หวาน ให้รสเค็มเล็กน้อย เพื่อขับรสชาติของเนื้อหมูที่นำมาทำพอร์คชอปได้ดี

ส่วนเนื้อหมูที่นำมาทำพอร์คชอปนั่น ถึงแม้นจะสุกมากไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทำให้เนื้อแข็งจนเสียรส แต่กลับสามารถดูดซึมซอสไวน์แดงเข้าไปในเนื้อได้อย่างดี เวลากินเข้าไปจะได้รสสัมผัสของเนื้อหมูและความหวานหอมมันของซอสไวน์แดงไปพร้อมกัน โดยส่วนตัวแล้วจัดว่าดีค่ะจานนี้ ยิ่งกินในบรรยากาศอบอุ่นสวยงามของห้องอาหาร Lighthouse แล้วด้วย ยิ่งฟินค่ะ

พอร์คชอป ราดซอสไวน์แดง

Dinner ของเรา

เราปิดรายการกันด้วยผลไม้ตามฤดูกาล นั่นก็คือ แตงโมและฮันนี่เมลอน

ผลไม้ตามฤดูกาล แตงโมและฮันนี่เมลอน

เราจบค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ในบรรยากาศแบบประภาคารริมทะเล และอาหารรสดี ๆ ของ Lighthouse Bar & Grill ไว้เพียงเท่านี้ โพสต์หน้า เราจะมาคุยให้ฟังถึงตัวโรงแรม Peggy's Cove Fisherman Village กันบ้างค่ะ เอาเป็นว่า คืนนี้ ราตรีสวัสดิ์นะคะ

ขอบคุณที่รับชม


เรื่องที่เกี่ยวข้อง ::

เที่ยวเมืองจันทน์ :: อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล วิหารที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย

เที่ยวเมืองจันทน์ :: ชุมชนบุราณ ริมแม่น้ำจันทบูร

ซีทรู (Sea Thru Restaurant) ห้องอาหารหรู ริมหาด ประกาศเมนูของดีเมืองจันทน์ @ โรงแรม เจ้าหลาวทอแสงบีช

เที่ยวเมืองจันทน์ :: Review โรงแรมเจ้าหลาวทอแสง บีช จันทบุรี Chaolao Tosang Beach Hotel Chanthaburi

เที่ยวเมืองจันทน์ :: "ไปเลี้ยงฉลาม" ที่ หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ ภายในอ่าวคุ้งกระเบน

เที่ยวเมืองจันทน์ :: ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน อ่าวคุ้งกระเบน

เที่ยวเมืองจันทน์ :: "เนินนางพระยา เนินแห่งรัก"

เที่ยวเมืองจันทน์ :: กินกาแฟ แลประภาคาร ที่ Coffee Cove at Peggy's Cove Resort

เที่ยวเมืองจันทน์ :: ไปทำกิจกรรม "เสื้อย้อมคราม" @ Peggy's Cove Fisherman Village

กินอิ่ม ในบรรยากาศอบอุ่น Review Light House Bar&Grill @ Peggy's Cove Fisherman Village อ่าวคุ้งวิมาน จันทบุรี

เที่ยวเมืองจันทน์ :: Review Peggy's Cove Fisherman Village อ่าวคุ้งวิมาน จันทบุรี

เที่ยวเมืองจันทน์ :: รีวิว ห้องพัก และบุฟเฟห์อาหารเช้า @ Peggy's Cove Fisherman Village อ่าวคุ้งวิมาน จันทบุรี

สายลม ที่ผ่านมา

 วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.08 น.

ความคิดเห็น