ในช่วงเวลา 1 ปี หรือ 365 วันที่คนเรามีเท่าๆ กัน เชื่อว่าคุณทุกคนมีสิ่งที่คุณอยากทำให้สำเร็จก่อนสิ้นปี ผมเองก็เช่นกัน ตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักกับคำว่า "ภูลังกา" และ "กระซิบรักบันลือโลก" ผมบอกกับตัวเองมาเสมอว่าจะต้องไปสถานที่ที่เป็นที่มาของคำเหล่านี้ให้ได้

และเพื่อเติมเต็มความต้องการตรงนี้ ไทม์ไลน์ของผมจึงเริ่มต้นที่ "จังหวัดพะเยา" ที่เป็นสถานที่ตั้งของ "ภูลังกา" และต่อด้วย "จังหวัดน่าน" ที่มีภาพจิตรกรรมอันโ่ด่งดังอย่าง "ปู่ม่าน ย่าม่าน"

เรื่องราวของผมจะเป็นอย่างไร ผมจะพาคุณไปที่ไหนบ้าง เราไปเริ่มเรื่องกันที่หมอชิต...


วันศุกร์ ที่ 6 ก.ย. 2562

ออกเดินทางจาก หมอชิต 2 มาตั้งแต่ 1 ทุ่มกว่า แล้วก็มาถึงยังสถานีขนส่งเชียงคำ จ. พะเยา ประมาณ 6 โมงเช้า แค่คุณก้าวลงจากรถทัวร์ พี่ๆ สองแถวก็จะมายืนรอหาลูกค้าตามธรรมเนียม

แต่ผมมีแผนของตัวเองไว้อยู่แล้ว เลยปลีกตัวเองจากจุดนั้นมาวางกระเป๋า แล้วไปล้างหน้าแปรงฟันให้สดชื่นก่อน

หลังจากนั้นไม่นาน คุณลุงสองแถวท่านนึงก็เดินเข้ามาหาผม เราก็ได้ตกลงราคา และนัดแนะสถานที่ที่จะให้ลุงไปรับ ลุงก็ได้ให้นามบัตรมาเพื่อไว้โทรหาลุงแกอีกครั้งถ้าจะไป เพราะลุงแกขอเวลาไปรับส่งนักเรียนไปโรงเรียนก่อน เพราะวันที่ไปเป็นวันศุกร์ ยังไงเราก็ไม่ได้รีบอยู่แล้ว

จาก อ. เชียงคำ ไปยัง ภูลังกา ราคาอยู่ที่ 600 บาทเป็นราคาแบบเหมา ซึ่งคุณลุงสามารถพาไปแวะไหว้พระได้ถ้าอยู่ไม่ไกลนัก จริงๆ ราคาก็สามารถต่อรองได้นิดหน่อยนะ เต็มที่ก็คง 550 บาท


จาก สถานีขนส่งเชียงคำ เดินออกมาไม่ไกลก็จะเจอตลาดสด ที่จะเป็นแหล่งอาหารของเราในเช้านี้ ส่วนมากที่เห็นจะเป็นพวกพืชผลทางการเกษตร สุดท้ายไปลงเอยที่ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง พยายามจะหาที่เป็นร้านตามสั่งแต่หาไม่เจอ ใครไปเจอก็มาบอกกันหน่อยนะ 555

จากตัวตลาดสดเดินต่อมาอีกหน่อย ก็จะเจอกับ "วัดนันตาราม" ที่ถือได้ว่าใครมา อ.เชียงคำ ต้องไม่ควรพลาดที่จะมาชมความงดงามของวิหารไม้สักทอง ที่เป็นศิลปะแบบไทใหญ่ แม้แต่พระประธานที่เป็นปางมารวิชัยก็ยังทำจากไม้สักทองเช่นกัน




หลังจากที่ผมเที่ยวชม "วัดนันตาราม" จนอิ่มเอมใจแล้ว ก็ได้โทรหาลุงตามหมายเลขที่ลุงให้ไว้ และนัดให้ลุงมารับที่วัดนันตาราม เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายต่อไป ที่ผมไม่สามารถเดินไปได้ เพราะมันไกล

แต่นั่งรถมาไม่นาน ก็มาถึงยัง "วัดพระนั่งดิน" ที่มีพระพุทธรูปที่ประดิษฐานไม่เหมือนที่ใดตั้งแต่ที่ผมเคยเห็นเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นพระรูปที่ประดิษฐานอยู่บนพื้นดินนั่นเอง


หากใครอยากรู้ที่มาที่ไปอย่างลึกซึ่งแนะนำให้เข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้เลย
https://www.paiduaykan.com/province/north/phayao/w...


เมื่อกราบไหว้พระ และเยี่ยมชมจนพอใจ เหลือบไปมองที่นาฬิกา พึ่งจะเวลา 8.30 น.
โอ้วแม่จ้าวยังเช้าอยู่เลย ถ้าหากใครเจออย่างผม แนะนำว่าลองหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนไปสักหน่อยว่ามีสถานที่ใดในเมืองเชียงคำที่น่าสนใจอีก

จาก "วัดพระนั่งดิน" ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงยังจุดหมายที่จะพักแรมในค่ำคืนนี้ สถานที่แห่งนี้ก็คือ "ภูลังการีสอร์ท" ที่จัดว่าเป็นรีสอร์ทอันดับต้นๆ ของภูลังกา ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว กับที่มาของวลีที่ว่า "ที่พักหลักร้อย วิวหลักล้าน"

วันนั้นเป็นวันที่ไม่มีคนเลย เพราะไม่ใช่ช่วงพีคของที่นี่สักเท่าไหร่ พอไปถึงทางที่พักก็ให้เช็คอินเข้าได้เลย หลังจากที่เก็บสัมภาระเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็อดใจไม่ไหวที่จะออกไปเก็บภาพความทรงจำของภูลังกาแห่งนี้


และมุมนี้คือมุมที่ไม่ว่าใครค้นหาจาก Google ว่า "ภูลังกา" คุณก็จะเจอกับมุมๆ นี้ ที่แต่ละคนจะได้ชมความงดงามที่ธรรมชาติเนรมิตให้คุณเห็นไม่เหมือนใคร

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการมาชมวิวหลักล้านของภูลังกาคือช่วงฤดูหนาว ในตอนเช้าๆ ซึ่งสักครั้งนึงของชีวิตควรพาคนทึ่คุณรักมาชมหมอกละมุนๆ ยามเช้า โอบกอดเขาช้างน้อยที่คุณเห็นอยู่ตรงหน้า รับรองว่าฟินโคตรๆ

หรือถ้าไม่เจอหมอกจริงๆ ละก็ แค่ได้มาเห็นวิวธรรมชาติก็คุ้มค่าแล้ว

เมื่อแดดร่มลมตก ก็ถึงเวลาของเมนูอาหารยอดฮิตอย่าง "หมูกระทะ" 1 ชุด เบาๆ 450 บาท เพิ่มหมูนุ่มไปอีก 50 บาท กินกัน 2 คน จนตัวแตก ตอนหิวๆ คิดว่าจะไม่พอ สุดท้ายโคตรทรมานร่างกาย เพราะเยอะมาก
*** หมูกระทะกินหน้าห้องพักชมวิวสวยๆ ได้เลยนะ ***

กินหมูกระทะเสร็จคอมันแห้งๆ เดินลงมาจากที่พักต่อด้วยนี่เลย "ครัวภูลังกา" มีทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม


จัดน้ำผลไม้สักหน่อย ด้วยน้ำแอปเปิ้ล อิอิ!! รักสุขภาพมั้ยล่ะ !


เช้าวันเสาร์ ที่ 7 ก.ย. 2562
ผมได้ตื่นแล้วเดินออกมาจากห้องพักไปยังจุดชมวิว พร้อมกับความหวังที่ว่าจะมีหมอกสวยๆ ลอยปกคลุมบริเวณเขาช้างน้อย ที่มีลำแสงรุ่งอรุณสาดส่องมากระทบทะเลหมอก อย่างที่ใฝ่ฝันจะมาเห็นแต่สุดท้ายก็ไม่เป็นดั่งที่หวังไว้


แม้ต้องพบกับความผิดหวัง ก็คิดซะว่าธรรมชาติอยากให้เราได้เห็นแบบนี้


เมื่อได้ภาพในมุมของ "ภูลังการีสอร์ท" ก็ขยับตัวเองมาที่ "Magic Mountain Cafe" สถานที่ชมวิวยอดฮิตของภูลังกาอีกหนึ่งแห่ง

จิบเครื่องดิ่มอุ่นๆ ชมบรรยากาศ

เป็นเช้าในวันที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก

จากความฝันที่เริ่มหมดหวังที่จะพบทะเลหมอก ได้จุดประกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีกลุ่มหมอกน้อยๆ เริ่มก่อตัว แต่หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มหมอกน้อยๆ กลุ่มนั้นก็มลายหายไป


อาบน้ำให้หายหนื่อย และเก็บสัมภาระ ทิ้งความผิดหวัง แล้วเดินทางต่อตามชะตาชีวิตที่เราได้กำหนดเอง จุดหมายต่อไปของเราคือ เดินทางต่อไปยัง ตัวเมืองน่าน

ผมได้เลือกที่จะเดินทางต่อด้วยการโบกรถ จาก ภูลังกา ไปยัง อ. ท่าวังผา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความจำเป็นผมจึงต้องทำสิ่งนี้เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย

ผมขออาศัยรถผู้ใจดีไปลงแค่ อ. ท่าวังผา เท่านั้น เพราะเป็นจุดที่มีรถโดยสารสาธารณะต่อไปยังตัวเมืองน่านค่อนข้างเยอะ

*** จริงๆ แล้ว มีรถตู้วิ่งผ่านวันละ 1 รอบ ประมาณ 11.00 - 13.00 น. ไม่ค่อยแน่ใจว่าเวลาใดแน่ แต่มันถือเป็นความเสี่ยงหากรถตู้คันนั้นคนเต็มรถ ***


โบกรถคันที่ 1 มีคนโดยสารมาคันรถจึงไม่จอดรับเรา
โบกคันที่ 2 ไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการ
โบกคันที่ 3 เป็น สามี ภรรยา และลูกน้อยที่ลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ได้จอดรับเรา และให้เราติดรถไปด้วยอย่างไม่ลังเลใดๆ เป้าหมายของพี่เขาจะไปไหนไม่ทราบได้ ผมขอแค่อาศัยไปลง อ. ท่าวังผา ก็เท่านั้น

เดินทางมาสักพักใหญ่ๆ เกือบ 2 ชม. เห็นจะได้ พี่เขาก็จอดให้เราลงที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอท่าวังผา ผมเลยใช้โรงพักเพื่อประชาชนไปทำธุระส่วนตัว และถามพิกัดในการรอรถโดยสารสาธารณะจากพี่ๆ ตำรวจ ก็ได้คำตอบว่า ให้เดินข้ามถนนไปรอที่ศาลาตรงปั้ม ปตท.

รอได้ไม่ถึง 10 นาที รถทัวร์ปรับอากาศ พิษณุโลก น่าน ทุ่งช้าง ก็ผ่านมาพอดี ค่าโดยสารเพียง 50 บาท เท่านั้น ใจจริงๆ อยากนั่งรถหวานเย็นตากแดดร้อนๆ แต่โชคชะตามันกำหนดมาแบบนี้จริงๆ


มีการเดินทางอยู่ 3 แบบ
- รถสองแถว ไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่
- รถเมล์ส้ม ถ้าข้อมูลไม่ผิด ค่าโดยสารจะประมาณ 40 บาท
- รถปรับอากาศ 50 บาท

เมื่อมาถึงยัง สถานีขนส่งจังหวัดน่าน ก็ได้โทรหาร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ ที่ได้ติดผ่านทาง facebook
ร้าน โตโน่ https://www.facebook.com/tonocarrentnan/

เมื่อได้ราชรถคู่กาย ก็ขี่ไปยังที่พักทันที เพื่อเอาสัมภาระไปฝากไว้ก่อนยัง check in ไม่ได้ เพราะพึ่งจะเที่ยง ที่พักของผมในค่ำคืนนี้ก็คือ "Richmond Nan Hotel" ในราคา 9xx บาท ราคานี้รถมาจากพันกว่าบาท เพราะช่วงนี้เป็นช่วง low ราคาเลยถูก บอกได้เลยว่าที่พักดีเวอร์ เจ้าของใจดีด้วย
https://www.traveloka.com/hotel/thailand/richmond-...

หลังจากเคลียร์สัมภาระเสร็จ ก็มุ่งหน้าสู่ "วัดพระธาตุแช่แห้ง" ระหว่างทางก็ได้พบกับทุ่งนาอันเขียวขจี จนหักห้ามใจตัวเองที่จะลั่นชัตเตอร์ไม่ได้จริงๆ


ขี่รถมาไม่นานนักก็ได้มาถึงยัง "วัดพระธาตุแช่แห้ง" ที่ถือว่าเป็นพระธาตุที่โด่งดังของจังหวัดน่าน และยังจัดว่าเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ อีกด้วย


ช่างงดงามยิ่งหนัก

ภายในบริเวณวัด ผมได้เดินมาพบกับ" พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี " ที่เป็นพระธาตุประจำปีเกิดผมเองด้วย

"พระเจ้านอน" พระพุทธรูปปางไสยาสน์


สถานที่ต่อมา "วัดพระธาตุเขาน้อย " วัดที่มีจุดชมวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน ใครขี้เกียจขี่รถขึ้นไป ก็จอดแล้วเดินบันไดพญานาคขึ้นไปก็ได้


จุดนี้มุมมหานิยม ที่จะมองเห็นตัวเมืองน่าน คนมักจะมาถ่ายรูปมุมนี้กัน


"พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท


วิวสวยจริงๆ

สง่างามมากๆ

พระธาตุเขาน้อย สร้างในสมัยเจ้าปู่แข็ง เมื่อปี พ.ศ. 2030 องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่อ อิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริต เดชฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2449-2454 โดยช่างชาวพม่า และวิหารสร้างในสมัยนี้เช่นกันวัดพระธาตุเขาน้อย เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ และเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของ จ.น่าน สันนิษฐานว่ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระธาตุแช่แห้ง
ข้อมูลจาก https://www.paiduaykan.com/76_province/north/nan/prathatkaonoi.html

ไปกันต่อที่ วัดภูมินทร์ ขอประเดิมด้วย "สถูปเจดีย์พระมาลัยโปรดโลก" จำลองเหตุการณ์ในนรกภูมิ


ไม่รู้หนุ่มสาวที่ไหนมายืนกระซิบรักกันตรงนี้


พระอุโบสถจตุรมุข ที่ถูกยกให้เป็นทั้ง พระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ประธาน ในอาคารเดียวกัน มีพญานาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัว วันที่ไปฝั่งหัวพญานาคยังบูรณะอยู่เลยไม่ได้ถ่ายอุโบสถเต็มๆ มาให้ดู

ตามความเชื่อหากคู่รักคู่ใดเดินลอดซุ้มพญานาค จะทำให้ครองรักกันยาวนาน หรือใครที่รักสั่นคลอนก็จะกลับมารักกันดีอย่างเดิม

*** เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ***


เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกันพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ปางมารวิชัย 4 องค์ หันออกไปที่ประตูทั้งสี่ทิศ และองค์พระหันหลังเข้าหากัน จากที่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาพอสังเขป เหมือนจะมีความเชื่อที่ว่าหากจะขอพรให้สมหวังให้ขอพรองค์ที่มีพระพักตร์ยิ้มแย้ม *** อ่านผ่านตามาจากเว็บใดสักเว็บ ไม่รู้ว่าความเชื่อนี้จริงเท็จอย่างใด โปรดใช้วิจารณญาน **

และไฮไลท์ของการมาจังหวัดน่าน เพื่อมาวัดภูมินทร์ ตามหาสิ่งๆ หนึ่งที่บอกกับตัวเองมาตลอดว่าจะต้องมาเห็นสักครั้งหนึ่งในชีวิตให้ได้นั่นก็คือ จิตรกรรมฝาผนัง "ปู่ม่าน ย่าม่าน"

ที่มาพร้อมกับคำกลอนอันสละสลวยในภาษาคำเมืองที่ว่า
" คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม
จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้
ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…"

นอกจากนั้นจิตรกรรมฝาผนังยังถ่ายทอดเรื่องราวอื่นๆ อีก เช่น พุทธชาดก ตำนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต

ภาพวิถีชีวิตชาวน่าน

ภาพพุทธชาดก เรื่อง คัทธนกุมารชาดก


มาต่อกันที่ "วัดพระธาตุช้างค้ำ" สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เจดีย์ทรงลังกา ที่มีรูปปั้นช้างครึ่งตัวค้ำองค์เจดีย์อยู่ ส่วนที่เห็นอยู่ในภาพนี้คือ "พระเจ้าหลวง" ที่เป็นพระประธานในพระวิหาร ที่ชาวเมืองนับถือว่าเป็นพระพุทธรูปประจำเมืองเลยก็ว่าได้

หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการตระเวนไหว้พระมาทั้งวัน เตรียมท้องให้ว่างแล้วมาเดินหาของกินอร่อยๆ ราคาเบาๆ ที่ กาดข่วงเมืองน่านกันให้เต็มอิ่มกันไปเลย

ราคาเบาจริงๆ อันนี้กล้าคอนเฟิร์ม

มาเหนือคิดไรไม่ออกบอก "ไส้อั่ว" ไว้ก่อนแล้วกัน

อีกหนึ่งเมนูที่เห็นขายอยู่หลายร้าน นั่นก็คือ "หมี่เมืองน่าน" อยากรู้รสชาติเป็นไงต้องลองมาชิมเอง

เมื่อได้ของกินจนเต็มมือ ก็ถึงเวลาต้องกินสักที


มีดนตรีสดเล่นเพลงเพราะๆ และมีการแสดงให้ชมด้วย

มันช่างเป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ หากได้พาครอบครัว เพื่อน หรือคนที่เรารักมานั่งกินข้าวด้วยกัน แม้ว่าจะไม่ได้หรูหรา แต่มันเต็มไปด้วยความสุข

เปลี่ยนจากการไปดูคอนเสิร์ต มายืนฟังดนตรีพื้นบ้าน จากคนพื้นเมืองมันก็ดีเหมือนกันนะ วันนี้ทั้งวันยอมรับว่าเหนื่อยกับการเดินทาง แต่มันก็แค่หลับสักตื่นร่างกายก็พร้อมลุยต่อแล้ว


เช้าวันอาทิตย์ ที่ 8 ก.ย. 2562
เป็นวันสุดท้ายของการที่ผมจะได้เที่ยว แล้วกลับไปทำงานต่อ บางสถานที่ที่ผมพลาดไปเมื่อวานวันนี้ถือว่าเป็นวันเก็บตก เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป คนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงงว่าทำไมบางที่ผมไม่ได้ไป ผมขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลยว่า สถานที่บางแห่งก็กำลังซ่อมแซม บางสถานที่มันก็ไม่ลงตัวกับแพลนของผมสักเท่าไหร่ หากคุณได้ไปก็ลองวางแผนกันดีๆ นะครับ


เช้านี้ผมเริ่มต้นที่ "วัดหัวข่วง" จริงๆ เวลาของเมื่อวานก็เพียงพอแหละ แต่มันเหนื่อยจริงๆ เลยมาเก็บตกเอาวันนี้ หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้ก็คือ "หอไตรวัดหัวข่วง" ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระไตรปิฎก และคำภีร์โบราณ ตั้งแต่ก่อสร้างวัดเลยทีเดียว


เดินข้ามถนนมานิดเดียว เรามาต่อกันที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน" ที่มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่หลายสิ่ง และที่เห็นอยู่นี้ก็คือ "วัดน้อย" ที่ถูกยกให้เห็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย จากคำบอกเล่าในเรื่องของที่มาที่ไปวัดนี้นั้นเกิดจากการที่พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 ได้เข้าเฝ้าและกราบบังคมทูลถึงจำนวนวัดในเมืองน่านแก่พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) เกินไปหนึ่งวัด จึงได้สร้างวัดน้อยแห่งนี้ขึ้นมาให้ครบตามจำนวนที่ได้กราบบังคมทูลไปนั่นเอง


และมาถึง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน จะไม่ถ่ายรูปกับซุ้มลีลาวดีมันก็จะรู้สึกเหมือนมาไม่ถึงจังหวัดน่านนะจ๊ะ

หลังจากเที่ยวชมด้านนอกจนเหงื่อแตก เราก็ไปเข้าที่ร่มๆ กันบ้าง และอาคารแห่งนี้เรียกว่า "หอคำ" ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ แล้วตอนหลังก็ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดน่าน ปัจจุบันหอคำได้ถูกยกให้แก่กรมศิลปากร เพื่อให้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน นั่นเอง


ที่เห็นอยู่นี้เข้าเรียกว่า "สมุดข่อยอาณาจักรหลักคำกฎหมายเมืองน่าน"

ตราประทับในสมัยนั้น

หนึ่งโบราณวัตถุสำคัญที่จะไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ นั่นก็คือ "งาช้างดำ" ที่เป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่าน และถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดน่าน เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ได้ทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า

"ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้ ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนครน่านเท่านั้น..."


นอกจากนั้นยังมีวัตถุโบราณอื่นๆ อีกหลายชิ้นได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ด้วย

บางสิ่งบางอย่างแม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นการสื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นว่าเมืองน่านพบเจออะไรมาบ้าง


มาถึงนี่แล้วไม่ถ่ายรูปคู่กับหอคำที่สวยงามแห่งนี้ก็คงจะเสียดายแย่

การเดินทางของผมใกล้มาสุดทางแล้ว สถานที่ที่ผมไปจังหวัดใดๆ ก็ตามจะต้องมากราบไหว้เสมอ นั่นก็คือ ศาลหลักเมือง ที่ตั้งอยู่ที่เดียวกันกับ "วัดมิ่งเมือง"


หนึ่งสิ่งที่โดดเด่นกว่าวัดใดๆ ในจังหวัดน่าน คือ ความงดงามของอุโบสถล้านนาของวัดมิ่งเมือง ที่วิจิตรบรรจงเหลือกิน โดยฝีมือตระกูลช่างเชียงแสน

ด้านในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สื่อให้เราได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวเมืองน่าน ซึ่งจิตรกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นช่างท้องถิ่นในปัจจุบัน

ที่สุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ ก็คือ "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวน่าน" ที่เห็นใครมาน่าน ก็ต้องมาถ่ายรูปกับรถคันนี้ ก็ขอให้ได้มาแชะสักรูปเป็นหลักฐานว่าผมมาจริงๆ นะ


จนถึงตอนนี้บอกได้เลยว่าเวลามันเหลือสุดๆ เพราะพึ่งจะ 12.00 น. เท่านั้น รถทัวร์ที่ผมจะเดินทางกลับ กทม. นั้นออกเวลา 18.30 น. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีที่ไป Richmond Nan Hotel เขาใจดีให้เราฝากของไว้ไปเดินเล่น และกลับมานั่งรอเวลาได้ แถมใจดีอาสาไปส่งที่ บขส. ซะด้วย แต่ผมเกรงใจเลยเดินฆ่าเวลาไป บขส. เอง เพราะมันไม่ได้ไกลมานัก

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ หากข้อมูลใดผิดพลาดต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย ฝากติดตาม และให้กำลังใจในการนำเสนอเรื่องราวดีๆ ต่อไปด้วยนะครับ

FB Fanpage : ฉันจะไป : I Will Go
https://www.facebook.com/iwillgo.thailand/



ฉันจะไป : I Will Go

 วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 02.00 น.

ความคิดเห็น