“แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง"
คำขวัญเมืองยอดฮิตอีกเมืองในตอนนี้
เมืองที่เราเห็นภาพความสวยงามของสถาปัตยกรรม
และความโดดเด่นของธรรมชาติที่สรรสร้าง “น่าน"
เมืองที่เราเคยคิดไว้ว่าเป็นอีกลิสต์นึงที่น่าสนใจ และฝันก็เป็นจริง
เมื่อเราได้มีโอกาสไปเยือน สัมผัสความเป็นล้านนาที่มีมนต์ขลัง
กับการออกไปเที่ยวเปิดโลกของเรา เอาล่ะ เกริ่นละเนาะ มาเริ่มกันเลย
...................................
ทริปนี้ออกเดินทางกันวันอาทิตย์ที่ 17 มกรา ตามแพลนทริปนี้วางไว้ 3 วัน 2 คืน
ไม่นับคืนเดินทางค่ะ กับผู้ร่วมเดินทาง 4 ชีวิตค่ะ
เป้าหมายหลักของทริปนี้คือการไปแหงนคอดูดาว กันที่ดอยเสมอดาวค่ะ
เพราะดูจากรีวิวหลายๆ ตัวแล้ว มันดึงดูดให้ไปมาก แต่ก่อนขึ้นดอย
เราแวะเที่ยวและนอนค้างในตัวเมืองน่านก่อน 1 คืนนะคะ
ฝากกระทู้เก่าที่ไปเที่ยวมาไว้ด้วยนะคะ
Art in Heart .. Dasada Khaoyai ..
http://pantip.com/topic/34552747
อยุธยา..พาเพลิน ..
http://pantip.com/topic/34489149
พัทยาฮาเฮ..แบกเป้ไปลั้ลลา ..
http://pantip.com/topic/34148782
Kamon in Huahin >> คอนโดบ้านแสนคราม ..
http://pantip.com/topic/33613160
Cae Villa Huahin..
http://pantip.com/topic/32311825
Review ทริปกาญจนบุรี..
http://pantip.com/topic/31376331
Review...Amphawa-Huahin .. http://pantip.com/topic/30222707
อย่างที่บอกว่าเราออกเดินทางกันตั้งแต่ 1 ทุ่มของวันที่ 17 มกรา
ระยะทางจากโคราช ก็ประมาณ 500 กว่าโล เวลาประมาณ 7-8 ชม.
แต่ด้วยความที่คุณสามีเป็นคนไม่ชอบการเร่งรีบ อยากไปเรื่อยๆ
ง่วงไหนอาจจะแวะพัก ก็เลยล้อหมุนกันไวหน่อยค่ะ พาหนะครั้งนี้เราใช้ vios
ขนของกันแน่นมาก จนนั่งกันเกือบไม่ได้ ฮ่าฮ่า แวะพักจุดแรกกันแถวลพบุรี
หาข้าวกินกันก่อน ออกเร็ว ข้าวมื้อเย็นยังไม่ตกถึงท้องจ้ะ
อาหารมื้อแรกของเราทริปนี้ก็คือ ... ผัดกะเพรา เจ้าเก่าเจ้าเดิม
เมื่อท้องแน่นกันแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อค่ะ คนขับก็ขับไป คนหลับก็หลับกันไปค่ะ
ฮ่าฮ่า..ที่เที่ยวของเราตามแพลนจุดแรกคือ ที่วัดพระธาตุช่อแฮค่ะ
เนื่องด้วยคุณสามีเป็นคนปีขาล เลยพาคุณเค้าไปสักการะพระธาตุประจำปีเกิดกันซะหน่อย
แต่.... มันเพิ่งตี 4 อยู่เลยค่ะ ปราศจากผู้คน ถนนหนทางเงียบเชียบ วัดมืดมาก รู้สึกอันตรายเกินไป
ถ้าจะจอดนอนรอเวลาในรถ เลยตัดสินใจงั้นไปตลาดดีกว่า
ดูมาว่าที่แพร่มีตลาดเช้า แต่.... ยังเงียบค่ะ มีพ่อค้า แม่ค้า เริ่มมาขายของแล้วบางส่วน
หันไปด้านขวาของตลาด เห็นมีลานจอดรถอยู่ เอาตรงนี้แหละ ใช้เวลานี้ หลับค่ะ พร้อมกับที่ท้องก็ร้องไปด้วย
เอ๊ะ !!! เหมือนเพิ่งกินมาไม่กี่ชั่วโมงเองเนอะ หลับได้ไม่นานก็ได้เวลาตื่นค่ะ ตี 5 กว่าแล้ว
เห็นมีร้านโจ๊กอยู่ร้านนึง น่าจะพร้อมขายแล้ว ลงไปกินกันค่ะ เปิดประตูปุ๊บ
หนาวปั๊บ คือ.. นี่แหละ สิ่งที่รอคอย โคราชนั้นไม่หนาวเลยค่ะ แต่อากาศที่แพร่
สุดยอดมาก ขนาดไม่ได้ขึ้นดอยอะไร ยังเย็นบาดใจกันขนาดนี้
ร้านโจ๊กยังไม่มีคนเลยค่ะ แม่ค้าต้อนรับเราด้วยภาษาเหนือ โอย ชอบมาก
เป็นภาษาที่เราปลื้ม ชอบฟัง แม้จะฟังไม่ออกก็ตาม
รูปโจ๊กที่เราไปกินมื้อเช้าค่ะ ข้าวร่วนๆ ไม่เหนอะหนะเหมือนโจ๊กทั่วไป
หลังจากจัดการกับมื้อเช้ากันแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่เดิมค่ะ วัดพระธาตุช่อแฮ
ก็ยังคงมืดอยู่ดี แม้จะ 6 โมงกว่าแล้วก็ตาม แต่ก็นะ รอละกัน ท้องฟ้าเริ่มเห็นสีส้มๆ มาแล้ว
จัดการล้างหน้า แปรงฟัน แล้วขึ้นไปสักการะพระธาตุกันค่ะ
มีลิฟต์ให้ขึ้นด้วยนะคะ แต่เห็นว่าไม่สูงมากเท่าไหร่ เดินค่ะเดิน
ขึ้นมาถึงด้านบนกันแล้ว เข้าไปไหว้พระในโบสถ์กันก่อนนะคะ
ช่วงที่เราไป เหมือนทางวัดกำลังบูรณะรอบๆ องค์พระธาตุนะคะ
ไหว้พระในโบสถ์แล้ว ก็ออกมาไหว้พระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตกันค่ะ
รอบๆวัดมีจุดให้ทำบุญหลายจุดค่ะ มีจุดให้คนปีขาลมาทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วยนะคะ
ออกจากวัดพระธาตุช่อแฮที่แพร่แล้ว ก็เดินทางต่อไปที่น่านค่ะ
วัดพระธาตุเขาน้อยคือเป้าหมายต่อไป ระยะทางประมาณ 125 กิโลค่ะ
ทางขึ้นมี 2 ทางนะคะ จะเดินขึ้นบันได้ 303 ขั้น หรือขับรถก็ได้ ทางชันนิดหน่อย
แต่ไม่ยากค่ะ รถเก๋งธรรมดาขึ้นได้ค่ะ ที่วัดมีพระธาตุที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
และหลวงพ่อทันใจให้ได้กราบไหว้กันด้วยค่ะ
ภาพนี้ส้มถ่ายจากมุมบน ทางขึ้นวัดพระธาตุเขาน้อยนะคะ
บันไดทางขึ้นวัดพระธาตุเขาน้อยค่ะ แต่ภาพนี้ส้มถ่ายจากด้านบนนะคะ บันไดที่นี่ 303 ขั้นค่ะ เดินคงขาลากเนอะ
ลานจอดรถด้านบนค่ะ
ขึ้นมาถึงก็ไปไหว้พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน กันค่ะ
เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร ตั้งตระหง่านสวยงาม เป็นอีกหนึ่งสถานที่ถ้าส้มเห็นก็รู้เลยว่าเป็นจังหวัดน่านค่ะ
จุดนี้จะมีพื้นที่ให้เราชมวิวเมืองน่านได้วิวกว้างเลย เมืองน่านยามเช้าสวยงาม สงบดีมากค่ะ
หลังจากเดินชมจนทั่วแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปกันที่วัดหนองบัว ที่ท่าวังผาค่ะ ระยะทางประมาณ 46 โลนะคะ
วัดหนองบัว ตั้งอยู่ใน อ. ท่าวังผา จ. น่านค่ะ เป็นวัดเก่าแก่ ของชุมชนไทลื้อค่ะ
ภายในวัดร่มเย็น สวยงามไม่ต่างจากที่อื่นๆ
และที่นี่ยังมีคุณลุงมาขับกล่อมดนตรีพื้นเมืองให้นักท่องเที่ยวได้ฟังด้วย
ที่นี่มีจิตรกรรมฝาผนังที่สะท้อนชีวิตของชาวบ้านไทลื้อไว้ด้วยค่ะ ใครสนใจแวะเวียนไป
จะมีคุณลุงคอยให้ความรู้อยู่ด้วยนะคะ ด้านหลังวัดยังมีชุมชนที่ชาวบ้านจัดเป็นศูนย์ไว้ทอผ้า
และมีงานจัดจำหน่วยด้วยนะคะ หากได้ผ่านไป ก็อย่าลืมไปอุดหนุนงานของชาวบ้านกันนะคะ
จากวัดหนองบัว เรามุ่งหน้าไปที่ปัวค่ะ เพราะสมาชิกของเราทำฟาร์มเห็ดอยู่เลยสนใจไปดูที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ
ที่นี่มีฟาร์มเห็ด ร้านอาหาร รีสอร์ทพร้อมค่ะ
จากภาพที่เราเห็นถ้ามาหน้าฝนที่ปลูกข้าวกันเยอะ คงจะได้วิวทุ่งนาเขียวๆ เพลินสายตากัน
แต่เราไปช่วงนี้ก็ยังพอได้เห็นค่ะ เพราะไม่ได้ปลูกข้าว แต่ชาวบ้านก็นำผักมาปลูดทดแทนค่ะ
ทางเข้าค่อนข้างยากสักหน่อยค่ะ ที่จอดรถจัดให้จอดแถวป่าไผ่ ถ้าคนมาเยอะ ๆ ไม่แน่ใจว่าจะพอหรือเปล่า
เดินผ่านรีสอร์ท น่าพักค่ะ ราคาน่าคบหา แต่ห้องน้ำเป็น open air ทริปนี้มีแม่มาด้วย
อาจไม่เหมาะเท่าไหร่ เลยไม่ได้เลือกที่นี่
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าที่นี่มีร้านอาหารด้วย เท่าที่ดูมาเหมือนจะเด่นเรื่องพิซซ่าเห็ดหรืออาหารที่ทำจากเห็ด
แต่เราของ่ายๆ ค่ะเป็นผัดพริกแกงหมูไข่ดาว จัดมา 3 จาน ของคุณสามีเป็นข้าวผัด
สำหรับเราแล้วนี่อาจเป็นเมนูธรรมดา รสชาติเลยธรรมดาค่ะ มีนักท่องเที่ยวเข้ามากินเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ขาดเลย
พนักงานวิ่งกันวุ่น ได้ชามะนาวมาหนึ่งแก้ว รสชาติดีค่ะ ไม่ผิดหวังเหมือนรีสอร์ทบางที่ที่เคยกินมา
ออกจากที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ร้านลำดวนผ้าทอค่ะ
ระยะทางประมาณ 2 กิโล ที่นี่มีร้านกาแฟตั้งอยู่กลางทุ่งนาด้วยนะคะ ชื่อร้านกาแฟบ้านไทลื้อ
ถ้ามาหน้าฝนที่ทุ่งนาเขียวขจี นั่งจิบกาแฟกันไปก็คงเพลินดีนะคะ
ที่ร้านลำดวนผ้าทอมีเสื้อผ้าเยอะมากค่ะ ทั้งเสื้อ กระโปรง ผ้าทอ ชุดแซก กระเป๋า
สำหรับส้มแล้วคิดว่าราคาถูกอยู่ค่ะ ราคาอยู่ที่ 150-200 โดยประมาณ
แต่ถ้าผ้าทอส้มไม่แน่ใจค่ะ
จับจ่ายสินค้ากันแล้ว เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองน่านกันอีกครั้งค่ะ
จากร้านลำดวนผ้าทอมาที่ น่านลานนา ระยะทางประมาณ 58 กิโลนะคะ
ทริปนี้เราจองที่พักไว้ที่ น่านลานนา จองไว้ 2 ห้องค่ะ
1 ห้องเป็นเตียง king 1 เตียง อีกห้องเป็นเตียง king 1 เตียง และเตียงเดี่ยวอีก 1 เตียง สำหรับ 3 คน ค่ะ
ราคา 690 และ 890 ตามลำดับ ตอนจองเราจ่ายมัดจำ 1000 และมาจ่ายเพิ่มส่วนที่เหลือวันเช็คอินค่ะ
น่านลานนาเรียกว่าอยู่ในกลางเมืองเลยสำหรับเราค่ะ เพราะอยู่ติดกับวัดข่วงเมือง เข้ามาในซอย 100 เมตร
ไม่มีรั้วนะคะ จอดรถหน้าที่พักได้ประมาณ 4-5 คัน เป็นอาคาร 2 ชั้น มี 10 ห้องค่ะ
ราคาหลักร้อยเท่านั้น มาถึงที่พักแล้วชอบค่ะ เงียบ สงบดีแม้จะอยู่ในเมือง
ห้องพักที่ส้มได้วันนี้อยู่ ชั้น 2 นะคะ ได้ 2 ห้องติดกันค่ะ
ตามมาชมห้องพักกันค่ะ ภายในห้องพักมีเตียง ทีวี ตู้เย็น โต๊ะเครื่องแป้ง แอร์ น้ำอุ่น พร้อมค่ะ
ในห้องมี ผ้าเช็ดตัว เช็ดหน้า 2 ผืน สบู่ แชมพู ในตู้เย็นมีน้ำ 2 ขวดนะคะ
ส้มชอบที่นี่มาก ถึงขนาดบอกคุณสามีว่าถ้าไปน่านอีก จะพักที่เดิม
เพราะนอนหลับสบาย ที่พักเงียบสงบ และไปไหนมาไหนสะดวก
ขับออกไปไม่ไกลก็เจอพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน วัดภูมินทร์ วัดช้างค้ำ
ถัดไปจะเป็นวัดศรีพันต้น ร้านของหวานป้านิ่ม ร้านเฮือนฮอม
คืออยู่ในจุดน่าเที่ยวๆ ทั้งหมดของตัวเมืองน่านค่ะ
ที่พักจะมีจักรยานให้ด้วยนะคะ ส้มลืมถามมาว่ามีค่าใช้จ่ายหรือเปล่า
แล้วก็ด้านนอกจะมีมุมกาแฟไว้บริการฟรีค่ะ
รอแดดร่มลมตก เราก็เดินทางไปวัดภูมินทร์กันค่ะ ระยะทางประมาณ 300 เมตร
จริงๆ อยากปั่นจักรยานอยู่ แต่ดูแล้วน่าจะเหนื่อยอยู่นะ ปั่นไปปั่นกลับ ฮ่าฮ่า
ไปถึงหน้าวัด จอดรถด้านนอกค่ะ อากาศเย็นสบาย แดดร่มๆ นักท่องเที่ยวไม่แน่นมาก
รถราไม่แน่นขนัดไปทุกหนแห่งอย่างโคราช เห็นแล้วอยากย้ายมาอยู่น่านเลย
ส้มชอบมาก ผู้คนยังพูดภาษาถิ่นกันอยู่
เข้าไปในวัดไปเจอน้องมัคคุเทศน์น้อยที่เคยเห็นในรายการเทยเที่ยวไทย
เสียงดังฟังชัด เจื้อยแจ้วดีทีเดียวค่ะ
ภายในประดิษฐานองค์พระประธานที่หันหน้าออกทั้ง 4 ทิศ
เข้ามาจากทางไหน ก็ไหว้พระประธานได้จากทุกมุมเลยค่ะ
ที่วัดภูมินทร์ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่โด่งดังมาก นั่นคือ กระซิบรัก ปู่ม่าน ย่าม่านค่ะ
จุดอื่นๆ ก็สวยงามไม่แพ้กัน ชมความงามและฟังน้องมัคคุเทศก์น้อยบรรยายเพลินเลยค่ะ
"คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว
จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม
จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป
ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้
ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา"… (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
ข้ามถนนมาจะเห็นซุ้มลีลาวดีขนาดใหญื่ที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันค่ะ
อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านค่ะ ใช้เวลาถ่ายภาพกันแค่แถวซุ้มลีลาวดีค่ะ
ไม่ได้เดินเข้าไปดูในพิพิธภัณฑ์ ไม่แน่ใจว่าแล้วเสร็จหรือยัง
ฝั่งตรงข้ามกันเป็นวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารค่ะ เข้าไปชมความงามของวัดกันนะคะ
ภายในวัดจะมีเจดีย์ที่ด้านล่างมีช้างเป็นฐานค้ำไว้ค่ะ
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี ภายในโบสถ์ด้วยค่ะ
จากวัดช้างค้ำแล้ว ตามที่ตั้งใจไว้คือจะไปแวะทานมื้อค่ำที่ร้านเฮือนฮอมค่ะ
โทรถามล่วงหน้าก่อนวันไปอย่างดีว่าเปิดกี่โมง แต่วันที่ไปถึงหน้าร้าน ปิดค่ะ ฮ่าฮ่า
เศร้าใจไปตามระเบียบ ของหวานป้านิ่มก็อด ไม่มีที่จอด เศร้ามาก
พลาดจากเฮือนฮอมก็ไม่มีเป้าหมายค่ะ ขับไปเรื่อยๆ จนไปเจอร้านธิดาน่าน ติดกับ Big C น่าน
ก็เลยแวะร้านนี้ ร้านมีที่จอดรถข้างหน้าได้ไม่เยอะมากค่ะ บรรยากาศใช้ได้ คนไม่เยอะ ฮ่าฮ่า
เมนูที่สั่งเป็น ข้าว 1 โถ คะน้าผัดน้ำมันหอย ต้มยำกุ้ง และหมึกนึ่งมะนาวค่ะ
2 เมนูแรกโอเคสำหรับส้ม แต่เมนูหลังไม่โอเคเท่าไหร่ เปรี้ยวแปลกๆ มื้อนี้ 4 คน 760 บาทค่ะ
ตอนค่ำเราแวะซื้อของกินเล่น ไว้นั่งเล่นหน้าที่พักกันค่ะ แถว otop น่าน
กะจะไปดูของฝาก แต่ร้านปิด 18.00 น. อดอีกตามระเบียบค่ะ
ไปเจอน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ข้างหน้า otop เลย อากาศหนาวๆ น่ากินดีค่ะ ไปต่อคิว ขายดีมาก
ชอบที่นี่ตรงที่ยังคงใช้ภาษาถิ่นกันอยู่เสมอๆ ไม่ว่าที่พักหรือร้านอาหาร
กลับจากข้างนอกมานั่งเล่นหน้าห้องพัก ช่วงเวลานี้ที่น่านก็ยังคงเงียบสงบ
สมเป็นเมืองสโลไลฟ์ที่ใครๆ กล่าวถึง ชอบค่ะ
เช้าเราวางแผนกันไว้จะไปตลาดตั้งจิตต์นุสร ระยะทางประมาณ 600 เมตร
เพื่อซื้อของ เตรียมเสบียงขึ้นไปกางเต้นท์กันที่ดอยเสมอดาวค่ะ
ตลาดเช้าที่นี่คนเยอะ คึกคักดีค่ะ
ระหว่างทางเดินไปตลาด จะเจอโรงแรมเทวราชและภูคาน่านฟ้าค่ะ หัวมุมจะมีร้าน sweety 9 แต่ไม่ได้แวะค่ะ
หลังจากเตรียมเสบียงกันพร้อมแล้ว
จุดต่อไปของเราคือ พระบรมธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำปีเถาะค่ะ
ระยะทางประมาณ 2 กิโลค่ะ เป็นปูชนียสถานสำคัญของจังหวัดน่าน
มีความเก่าแก่หลายร้อยปี อีกทั้งมีวิหารหลวง วิหารพระพุทธไสยาสน์
และบันไดนาคที่ยาวลงไปถึงถนนด้านล่างของวัดค่ะ
จุดหมายหลักของทริปนี้มาถึงแล้วววว ดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน
เป็นที่ที่ส้มเห็นจากรีวิวหลายๆ อันว่าสวยมาก ดาวแน่น ทะเลหมอก อากาศหนาว
ดึงดูดให้เราไปเยือนที่นี่ ก่อนไปหาข้อมูลมาบ้างเรื่องเต้นท์ เรื่องอาหาร
ทำให้เราเตรียมตัวได้เต็มที่
ดอยเสมอดาว อยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ห่างจากตัวเมืองน่านไปประมาณ 77 กิโล
ทางขึ้นไม่ยากค่ะ ทางดี ขับสบายๆ ค่ะ ป้ายทางเข้าจะอยู่ทางซ้ายมือ
เราเห็นค่ะ แต่ก็เลยไปถึงผาชู้ เพราะไม่คิดว่าทางเล็กๆ จะเป็นทางเข้าดอยเสมอดาว
วนกลับค่ะวนกลับ ขับขึ้นไปแล้วจะพบด่านเก็บเงินค่าเข้าค่ะ
พี่ทหารจะถามว่าเรามีเต้นท์มามั้ย ทางอุทยานมีให้เช่าทั้งชุดค่ะ ราคา 300 กว่าบาท
ส้มไม่แน่ใจ ส่วนค่าเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่ คนละ 20 ถ้าเรามีเต้นท์ไป จะเสียค่ากาง คนละ 30 บาท
ค่าจอดรถยนต์ 50 บาท ค่ะ ตอนไปถึง คนน้อยถึงน้อยมาก ชอบค่ะ อากาศค่อนข้างร้อนเลย
เพราะไปถึงช่วงเที่ยงพอดี พื้นที่บางส่วน อุทยานจะทำการกางเต้นท์สำหรับนักท่องเที่ยวไว้แล้วเต็มพื้นที่นะคะ
จะมีพื้นที่ด้านข้างเขา ไล่ระดับกันไปให้นักท่องเที่ยวที่นำเต้นท์มาเองได้กางค่ะ
เลือกพื้นที่ได้ตามใจชอบเพราะคนน้อยมาก
บริเวณจุดกางเต้นท์ของทางอุทยานสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้นำเต้นท์มาค่ะ
พื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวที่นำเต้นท์มากางเองค่ะ
สมาชิกของทริปเริ่มหน้าที่กางเต้นท์แล้วค่ะ
สถานที่พร้อมแล้วค่ะ !!
แดดร่ม เราก็เริ่มเตรียมมื้อเย็นกันค่ะ ทีมกางเต้นท์ก็จัดการหน้าที่แล้ว ทีมทำมื้อเย็นก็เริ่มงานค่ะ
บริเวณลานจอดรถค่ะ ซึ่งตอนที่เราขึ้นมาถึง สามารถนำรถจอดตรงนี้ได้ค่ะ
แต่หลังจากขนของเรียบร้อยแล้ว เราต้องย้ายรถไปจอดอีกจุดนึงที่ทางอุทยานกำหนดนะคะ
ไม่ไกลจากจุดนี้มากค่ะ
ถ่ายจากจุดที่ส้มกางเต้นท์นะคะ จะเห็นว่าคนไม่เยอะมาก จนท.ประกาศว่าวันนี้เป็นวันที่คนน้อยที่สุดเลย
พระอาทิตย์ใกล้จะโบกมือลาเราไปแล้ววันนี้
ก่อนมื้อเย็น ส้มและสมาชิกในทีมพากันเดินขึ้นด้านบนที่ลานดูดาวและผาหัวสิงห์ค่ะ
ผาหัวสิงห์เคยอ่านเจอว่าสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่ตอนนี้รู้สึกจะปิดนะคะ
ดอยเสมอดาวที่เค้าว่าดาวสวย สำหรับส้มแล้วมันสวยจริงๆค่ะ
ส้มไปตอนข้างขึ้น อาจเห็นไม่เยอะมาก แต่การตื่นมาตี 4 เพื่อมาดูดาว คือมันดีมากค่ะ
ดาวสวยจริงๆ แต่พอตี 5 ลมมา ดาวก็หายเกลี้ยง ต้องขออภัยค่ะ ไม่มีรูปดาวมาฝากเลย
เนื่องจากกล้องที่เราพาไปเที่ยว ไม่ยอมเก็บภาพดาวให้เรา ฮ่าฮ่า เลนส์เรามันดื้อจริงๆ ไม่ยอมรับดาวสักดวงเลย
และทริปนี้ส้มผิดหวังกับทะเลหมอกและการรอดูพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ
เพราะโดนโกงอย่างรุนแรง ทะเลหมอกไม่มา พระอาทิตย์หายตัวไป
นั่งรอจนเกือบ 8 โมงก็ไร้วี่แวว เลยถอดใจลงมาทำมื้อเช้าเลย
ส้มจะรวมภาพที่ถ่ายไว้ทั้ง 2 ช่วงเลยนะคะ
สรุปที่ดอยเสมอดาว คือดีงามสำหรับการมากางเต้นท์ชมธรรมชาตินะคะ
ถ้ามีทะเลหมอก และได้เห็นพระอาทิตย์คงแจ่มกว่านี้มาก
เรื่องร้านอาหารที่ส้มพูดถึงตอนแรกที่นี่มีให้บริการนะคะ แต่ทางที่ดี เตรียมมาเองดีกว่าค่ะ ปลอดภัยหายห่วง
เพราะตอนมาถึงช่วงกลางวัน ไม่มีร้านไหนเปิดเลย ก็ไม่รู้ว่าเค้าเปิดขายเฉพาะช่วงเย็นหรือเปล่า
เห็นว่ามีร้านหมูกระทะด้วยนะคะ บริการส่งถึงที่ และทางอุทยานมีอุปกรณ์สำหรับยังชีพพร้อมค่ะ
เรื่องห้องน้ำของอุทยานก็ตามปกติของอุทยานทั่วไปค่ะ มี 2 ฝั่งให้ใช้ ส้มไปเข้าฝั่งนึง มีฝักบัวให้ 2 ห้อง
มีถังให้ตักอาบ 2 ห้อง ซึ่งขอเลือกห้องฝักบัวดีกว่า แต่เจ้ากรรมคือ ประตูล็อคไม่ได้
อยากให้ช่วยตรวจสอบด้วยค่ะ เพราะประตูห้องน้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ เลยสำหรับการอาบน้ำของผู้หญิง
และน้ำที่อุทยานถึงแม้จะอาบช่วงกลางวันก็เย็นเจี๊ยบจริงๆค่ะ
ทางอทุยานงดใช้เสียงหลัง 22.00 น. นะคะ ให้เกียรติสถานที่และเพื่อนนักท่องเที่ยวกันนะคะ
ทุกคนมาพักผ่อน ต้องการความสงบ เคารพสิทธิของตัวเองและคนอื่นกัน จะทำให้การท่องเที่ยวสนุกมากๆ เลย
รวมไปถึงขยะ ควรเก็บทิ้งตามจุดที่ทางอุทยานจัดไว้ให้นะคะ ตอนมาถึงเห็นถุงขยะววางทิ้งตามจุดกางเต้นท์เยอะเลย
มาเที่ยวธรรมชาติ ก็ควรช่วยกันนะคะ
วันที่กลับ กรุ๊ปเรากลับเป็นกรุ๊ปสุดท้ายเลยค่ะ
เนื่องจากเป็นการพักผ่อน อยากนั่งกินบรรยากาศไปเรื่อยๆ เลยไม่ได้เร่งรีบมาก
กว่าจะเก็บของกัน ออกจากดอยเสมอดาวก็ประมาณ 10 โมงกว่า
ขากลับเราให้พี่ google map นำทาง พี่เค้าพาเราขึ้นเขา เขา และเขาเลยค่ะ
และในที่สุด เราก็เห็นป้าย ประมงปากนาย เอาละสิ ต้องลงแพแน่ๆ เลย
ด้วยความไม่ชินเส้นทาง เราก็มาตามๆ ที่พี่ map แกพามาค่ะ
สรุปคือได้ลงแพจริงๆ เป็นแพขนาดใหญ่ พาเราและรถ ข้ามไปทางฝั่งจังหวัดอุตรดิตถ์ค่ะ
มาถึงก็มารอคิวค่ะ รถจะจอดเรียงเป็นคิวไว้ โชคดีที่ตอนเราไป มีจอดรอก่อนหน้าเราประมาณ 4 คัน
แพพาไปได้ครั้งละ 2 คันค่ะ เที่ยวละ 250 บาทสำหรับรถยนต์ ถ้าเป็นรถจักรยานยนต์ 150 บาทค่ะ
เราก็รอไปค่ะ เพราะกว่าแพจะลากไป และกลับมารับเราก็ใช้เวลาพอสมควร
แต่ก็ไม่ได้นานมากนะคะ จุดที่รอมีร้านอาหารบนแพด้วย แต่ไม่ได้ใช้บริการค่ะ
ลำที่เราได้ใช้บริการ เป็นพี่ผู้หญิงคนเดียว
ลากแพโดยใช้เรือเล็กใส่เครื่องยนต์และลากเราไปค่ะ
คือพี่เค้าเก่งมาก แข็งแรงมาก เรานี่ทึ่งเลย ไหนจะมัดเชือก ดึงเรือ หมุนรอก คือเก่งมาก
คนเดียววิ่งวุ่นเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ เผื่อเป็นประโยชน์นะคะ
- ค่าน้ำมัน ส้มเติม E20 ค่ะ ระยะทางจากโคราช - น่าน น่าน - โคราช ประมาณ 2,500 บาท
- ค่าที่พัก คืนแรกที่น่านลานนา ห้องเตียงใหญ่ สำหรับ 2 คน 690 บาท และห้องเตียงใหญ่ 1 และเตียงเล็ก 1 สำหรับ 3 คน ราคา 890 บาท ไม่มีอาหารเช้านะคะ แต่มีกาแฟให้บริการค่ะ ไม่มีค่าประกันค่ะ
- ค่าเข้าดอยเสมอดาว ผู้ใหญ่ 20 บาท หากนำเต้นท์มาเอง เสียค่ากางคนละ 30 และค่าจอดรถยนต์ 50 บาท
- ค่าแพข้ามฝั่ง รถยนต์ 250 บาท
- ค่าเข้าสถานที่ไม่มีค่ะ
จบทริป ณ น่านแล้ว หวังว่ารีวิวนี้จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้สนใจและรักในการเดินทางทุกคนเลยนะคะ
ผิดพลาดในส่วนใด ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
I am Kamon
วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.35 น.