เช้าวันที่สาม เราก้อตื่นกันตั้งแต่ตีสามแบบงัวเงียๆ คือกำลังหลับเพลินเลย แต่ก้อต้องตื่น เพราะจะรีบไปจองที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดีย์ Shwesandaw

เจดีย์ Shwesandaw เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นิยมกันมากในเมืองพุกาม พระเอกในภาพของเราที่เป็นเจดีย์ใหญ่ๆ ชื่อว่า เจดีย์ Dhammayangyi ตอนที่ไปยังเห็นร่องรอยความเสียหายจากแผ่นดินไหม และการซ่อมแซมอยู่บ้าง

พอมองไปรอบๆก้อจะเห็นเจดีย์มากมายไปหทดสุดลูกหูลูกตา สงสัยกันไหม ว่าทำไมที่พุกามถึงมีเจดีย์เยอะขนาดนี้ ชาวพม่ามีความศรัทธาในพุทธศาสนากันอย่างแรงกล้า ในสมัยก่อนเชื่อว่าการสร้างเจดีย์จะได้บุญมาก บรรดาเศรษฐี ไปจนถึงคนธรรมดาเลยพยายามสร้างเจดีย์ ขนาดก้อแล้วแต่กำลังทรัพย์ จนกลายมาเป็นทะเลเจดีย์จนทุกวันนี้

เนื่องด้วยเจดีย์มีเยอะมากๆ ก้อจะมีทั้งเจดีย์ที่ดังๆที่กษัตริย์สร้าง และเจดีย์เล็กๆที่คนธรรมดาสามัญเป็นคนสร้าง เราได้แวะเข้าไปในเจดีย์เล็กๆองค์หนึ่ง โดยมีเณรน้อยมาเป็นแบบให้ถ่ายรูป ในช่วงที่พระอาทิตย์ทำมุมพอดีกับช่องหน้าต่างของเจดีย์ แสงอาทิตย์จะลอดเข้ามาเป็นลำสวยงามมาก โดยเราได้จุดธูปให้เกิดควันเยอะๆ ยิ่งควันเยอะ แสงอาทิตย์เป็นเส้นๆก้อจะยิ่งชัดเจนมากขึ้น

ภาพของเณรน้อยนั่งศึกษาพระธรรมอยู่ในเจดีย์

หลังจากเกือบสำลักควันในเจดีย์ 5555 วันนี้เราจะเดินเที่ยววัดและเจดีย์ดังๆในเมืองพุกามกัน โดยเริ่มจาก Shwezigon Pagoda กัน โดยที่นี่จะมีทางเดินเข้าหาเจดีย์เป็นทางเดินยาวๆ มีการเจาะช่องเป็นเหมือนประตูอยู่ด้านข้างตลอด ทำให้เกิดเป็น pattern ของแสงและเงาที่สวยงาม ถ้าไปที่นี่อย่าลืมมาถ่ายรูปตรงนี้ด้วยนะครับ สวยแน่นอน

เจดีย์ ZhweZigon ถือว่าเป็นหนึ่งในห้ามหาบูชาสถานสูงสุดของพม่า โดยชื่อ ZhweZigon มีหมายความว่า "เจดีย์ทองแห่งชัยชนะสร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่แล้วเสร็จในรัชกาลพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักรพุกาม ราว 960 ปีก่อน ภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใด จะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น เป็นที่น่าเสียดาย ที่ตอนไปยอดของเจดีย์กำลังบูรณะอยู่ เลยเป็นอย่างที่เห็นในรูปครับ

ระหว่างเดินทางออกจากเจดีย์ ZhweZigon จะมีร้านขายของพื้นเมืองที่ระลึกมากมาย แต่เอ๊ะ ทำไมหลายๆร้านเอาท่อนไม้อะไรมามัดๆขาย พอเข้าไปดูถึงได้รู้ว่า มันคือไม้ทานาคานั่นเอง เวลาเจอชาวพม่า โดยเฉพาะเด็กๆและผู้หญิง ใบหน้าของพวกเขามักจะทาไปด้วยแป้งขาวๆ เค้าเรียกกันว่า แป้งทานาคา ซึ่งมีสรรพคุณทำให้หน้าเนียนใส และเต่งตึง ซึ่งไม้ทานาคาเค้าก้อจะขายกันเป็นท่อนๆอย่างในภาพนี่แหละครับ เอามาขูดส่วนเปลือกให้เป็นผงๆ ผสมน้ำแล้วทาได้เลย เดี๋ยวนี้มีแบบทำออกมาเป็นครีม เป็นผง package สวยงามแล้ว แต่แบบบ้านๆอย่างนี้แหละ ดูขลังดีนัก

สถานที่ต่อไป เราจะไปกันที่วัดอนันดากันครับ วัดอนันดามีจุดเด่นตรงพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ ด้วยเทคนิคในการสร้างของคนสมัยโบราณ ตอนเดินเข้าไปจะเห็นว่าพระพุทธรูปยิ้มต้อนรับเรา แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ พระพุทธรูปจะหน้าบึงๆสำรวมๆนิดนึง เลยเป็นที่มาของคำว่า พระยิ้มพระบึ้งแห่งวัดอนันดา

อยู่ไกลๆ พระพุทธรูปจะยิ้มต้อนรับเรา

แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆเท่านั้นล่ะ อ้าว ทำไมท่านถึงไม่ยิ้มแล้ว นี่คือพระพุทธรูปองค์เดียวกันนะครับ

ทางเดินภายในเจดีย์อนันดาจะมืดๆทึมๆหน่อย แต่พอมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาก้อสวยงามไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว

เจดีย์อนันดาได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์ของพุกามเพราะถือว่าเป็นสุดยอดพุทธศิลป์สกุลพุกาม วัดอนันดาถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขา นันทมูล (Nandamula) บนเทือกเขาหิมาลัย อันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระอรหันต์ 8 รูป ตัวเจดีย์จะเป็นสีขาวแปลกตา สวยงามมากครับ เสียดายมากที่เจดีย์มีการซ่อมแซมอยู่หลายจุด แต่ยังไงก้อยังสวยอยู่ดี

เราไปเที่ยวกันต่อที่ วัดทิโลมินโล(Htilominlo) มีที่มาจากการขึ้นครองบัลลังก์ของ พระเจ้านาตองมยา โดยพระราชบิดาของพระองค์คือ พระเจ้านรปติซีตู ทรงมีราชบุตรกับทั้งพระสนมเเละพระมเหสีหลายองค์ จึงเป็นปัญหาในเรื่องของการสืบราชบัลลังก์ เพราะว่าพระองค์ทรงสัญญาไว้กับพระสนม เเละตามราชประเพณีต้องเป็นราชบุตรของพระมเหสี พระองค์จึงเรียกราชบุตรที่เข้าข่ายจำนวน 5 องค์มานั่งล้อมวงเเล้วพระองค์เอาฉัตรมาวางตรงกลางพร้อมทรงอธิฐานว่าหากฉัตรล้มลงไปที่ราชบุตรองค์ใดก็ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์ เเละเเน่นอนว่าเมื่อฉัตรล้มลงก็เป็นตรงหน้าเจ้าชายชัยสิงห์ หรือ พระเจ้านาตองมยา เเละเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ก็ทรงสร้าง ติโลมินโล ตรงบริเวณที่พระราชบิดาทรงเสี่ยงทายด้วยฉัตร

พระพุทธรูปในวัดทิโลมินโล(Htilominlo) พุกาม

ศิลปะของพระพุทธรูป และตัววัดของที่พม่านี่ไม่เหมือนไทยเลยนะครับ

และก้อสวยงามไม่แพ้กันเลย แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ การดูแลครับ

ตามผนังมีรูปวาด ศิลปะแบบเก่าๆอยู่เยอะเลย แต่ไม่ค่อยได้รับการดูแล

ผมเห็นฝรั่งยินพิงผนังที่มีรูปวาดโบราณอยู่แล้วปวดใจ

รูปวาดส่วนอื่นๆก้อหลุดลอกกระดำกระด่าง เสียดายศิลปะตั้งแต่สมัยโบราณจริงๆ

วันที่สามนี่ไปมาหลายที่จริงๆ รูปเยอะมากถึงมากที่สุด เดี๋ยวมาต่อตอน4 กันนะครับ


ติดตามกันต่อได้ที่

https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/

https://www.facebook.com/voravuds

Voravud Santiraveewan

 วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.54 น.

ความคิดเห็น