สวัสดีสมาชิกทุกท่านนะครับ เป็นเวลาร่วมๆ ครึ่งปีที่ผมไม่ได้เขียนบทความรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนเลย ซึ่งไม่ต้องไปเดาสาเหตุอะไรมากมาย ไม่มีตังค์ครับ !! ไม่ใช่ COVID-19 แบบที่คนอื่นเขาเจอกันหรอก ฮ่าๆ...
เอาหล่ะ เรามาเริ่มกันดีกว่า ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศก็นั่งหาที่เที่ยวในไทยหน่อย อยู่ๆ ก็มีพี่มาชวนไปเดินป่าที่อุ้มผาง จังหวัดตาก(คนเดียวกับที่ไปมุลาอิเมื่อปี 2019) เลยคิดว่าเอาหน่อยวะ !! อีเจี้ยนที่อินโดฯ ก็ผ่านมาแล้ว เดินป่าเบาๆ คงไม่เท่าไหร่ ~
ที่ๆ เราจะไปคือน้ำตก "ปิตุ๊โกล" ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อ.อุ้มผาง จ.ตาก ระยะทางเดินป่าจากจุดลงรถไปถึงแคมป์ประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนจะยิ่งใหญ่และอลังการขนาดไหน ติดตามอ่านไปพร้อมๆ กันเลยครับ
ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราวสนุกๆ ถ้าใครไม่สะดวกอ่านรีวิวหรืออยากดูเป็นวีดีโอแทน กดดูได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ
ผมออกเดินทางจากจังหวัดชลบุรี หลังเลิกงานวันศุกร์ ไปถึงที่นั่นก็เช้าวันเสาร์พอดี แต่ระหว่างทางเปิดเช็คดูสภาพอากาศแล้ว ถึงขั้นต้องกุมขมับ... พายุฝนเข้าภาคเหนือครับท่านผู้โช๊มมมมม... ฝนเริ่มปรอยตั้งแต่ลงจากรถเลย ซึ่งจุดแรกที่ลงยังเป็นจุดทานอาหารเช้า เตรียมของแบ่งสัดส่วน อันไหนแบกเอง อันไหนจ้างลูกหาบ หลังจากจัดแจงเรียบร้อยก็เตรียมตัวนั่งรถต่อไปที่จุดเดินป่า
ข้าวต้มยามเช้าก่อนเดินทาง
ฝนตกทั้งทีหมอกดีแน่นอน
บรรยากาศระหว่างทาง
นั่งรถมาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงจุดเริ่มเดินป่าละ ต่างคนต่างจัดแจงสัมภาระ สวมเสื้อกันฝน สะพายเป้ รับมื้อเที่ยงกันคนละห่อ เอาหล่ะ...พร้อมลุย !!
ค่าธรรมเนียมเท่านี้แหล่ะ ถูกๆ
ก่อนเดินผมก็ใช้เวลารวบรวมสติแล้วนึกขึ้นได้ว่าภาพบรรยากาศจากที่แอบไปเปิดดูตาม Internet ก็เดินสะดวกดี ทางไม่ได้แคบ แล้วก็มีช่วงที่ต้องลุยน้ำ ทำใจเปียกไว้ละ ระหว่างเดินช่วง 100 เมตรแรกก็ชิวๆ พูดคุยกันเฮฮา สักพัก เอ้าเฮ้ยย !!! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า.. ได้เปียกตั้งแต่เริ่มเดินเลยสิ..,
ระหว่างทางเราก็จะเดินสวนกับคนที่เพิ่งกลับ เขาหันมาบอกเราแล้วพูดขึ้นว่า "สู้ๆ นะคะ" แต่ในใจเขาอาจบอกสิ่งที่ตรงกันข้ามก็ได้ ฮ่าๆ
ความคิดหลังจากลุยน้ำชุดแรกผมนี่หนักใจเลยนะ คือพกทั้งกล้อง Action camera ด้วย กล้องใหญ่ด้วย ในใจคิดไว้ละว่าไม่ใช่ทริปเดินป่าชิวๆ ละ ในขณะเดียวกันฝนที่ปรอยๆ มาตลอดเช้ากลับเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่เดินง่ายๆ ก็กลายเป็นพื้นโคลน ลื่นกันสนุกอ่ะครับ
พอผ่านกิโลเมตรแรกข้างทางก็เริ่มโล่งขึ้น พอได้เห็นทิวเขาสวยๆ ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ฝนตกหรอ กางร่มสิ !! โครตชิว ฮ่าๆ
เดินไปเดินมาเจอเพื่อนด้วย เป็นฝูงเลยครับ >o<
ช่วงนี้กล้องผมเริ่มไม่ไหวละ น้องที่ไปด้วยกันถามว่า "กล้องพี่กันน้ำหรอ" พอมองดูสภากล้องที่เปียกโชกแล้วก็จำใจ เก็บเถอะ !! ฮ่าๆ เปียกขนาดนี้ถ่ายยากเกิน ส่วนกล้อง GoPro ที่พกไปก็เริ่มเช็ดไม่ออกละ เสื้อผ้าเริ่มเปียก ผมลืมผ้าเช็ดกล้องมาด้วย
พอเดินมาสักพัก เหมือนจะต้องมุดเข้าป่าต่อ คราวนี้หล่ะครับท่านผู้ชม พอเข้าไปปั๊บเริ่มใจแป้วนิดๆ เพราะน้ำแรงมาก เขาต้องทำสะพานไม้ไผ่ให้นักท่องเที่ยวข้ามน้ำไปอีกฝั่ง
เดินเข้ามาต่ออีกแป๊บเดียวเราก็หาที่นั่งพักทานข้าวเที่ยงกันริมน้ำนี่แหล่ะ
แม้จะทานลำบากหน่อย แต่มันก็เป็นมื้อพิเศษของผมเลยหล่ะ คงไม่บ่อยที่เราจะมานั่งเท้าแช่น้ำ ฟังเสียงธรรมชาติ สภาพเปียกปอนพร้อมกะเพราไข่ดาวในมือ มันช่างได้บรรยากาศเสียจริงๆ
ตอนนี้เราเดินมาครึ่งทางละ ผมคอยถามพี่ที่พามาว่าตลอดทางเลยว่าอีกไกลมั้ย เขาก็บอก "ไม่ไกลๆ" ก็ตอบไม่ไกลตั้งแต่เริ่มเดินหล่ะครับ จริงๆ ไม่น่าถาม ฮ่าๆ
เอาหล่ะ !! หายเหนื่อยแล้วก็ลุยกันต่อ.., เส้นทางยังอีกยาวไกล สู้ต่อไป~
ระหว่างเดินผมก็นึกขึ้นได้นะ ถ้าเกิดเป็นหน้าหนาว อาจไม่ได้มาเห็นบรรยากาศเขียวคจีแบบนี้ ช่วงนั้นพืชไร่พืชสวนคงถูกเก็บเกี่ยวหมดละ มันทำให้ผมนึกถึงมุลาอิเลย ตอนนั้นไปช่วงมีนา เขากำลังเผาป่าเตรียมทำไร่อีกครั้ง มีแต่ฝุ่นควันลอยเต็มไปหมด
เส้นทางในป่าจริงๆ ก็เดินไม่ค่อยยาก แต่มันลื่นมาก มีชันบ้างแต่นิดหน่อยครับ พอจะมีให้มุดให้หลบพอสนุกสนาน ล้มบ้างกลิ้งบ้างก็เรื่องธรรมดา ฮ่าๆ
เห็นป้ายเขียนไว้ว่า "ใกล้จะถึงแคมป์แล้ว" ค่อยมีแรงเดินต่อหน่อย
ก่อนเข้าป่าเจอไร่ข้าวโพด เข้ามาซักพักเจอป่ากล้วย เอ้ออ หลากหลายดี ฮ่าๆ
ระยะทางต่อจากนี้ที่ผมสังเกตุคือธารน้ำจะไหลเชี่ยวขึ้น เราจะเดินข้ามธารแบบช่วงแรกๆ ไม่ได้ละ
ส่วนทางเดินก็เริ่มชันเรื่อยๆ อยู่ที่ประมาณ 45 องศา คราวนี้ผมว่าผมเริ่มลำบากจริงๆ ละหล่ะ ในตัวเปียกไปหมดแต่ไม่ได้เปียกฝนนะครับ เปียกเหงื่อ !! เกาะอะไรได้ก็เกาะเอา ตอนนี้ !! ฮ่าๆ
ถือว่าเป็นช่วงที่เดินลำบากเลยทีเดียว ลำบากขนาดว่าเดินไปบ่นไป อยากกลับไปนอนบ้าง อยากไปนั่ง Cafe ชิวๆ บ้าง บ่นกันจนได้เป็นวลีประจำทริปว่า "เดินป่าหน้าฝน อย่า หา ทำ" ฮ่าๆ แต่มันก็มาแล้วหล่ะเน๊าะ ยังไงก็ต้องเดินต่อ ผมกลั้นใจเฮือกสุดท้ายปีนป่ายขึ้นไปอีกสัก 20 นาที ในที่สุดก็เจอแคมป์
แรงแทบไม่เหลือละครับ เจ็บเท้ามาก เห็นป้ายเขียนว่าน้ำตกปิตุ๊โกลผมจินตนาการว่าเดี๋ยวเก็บของ กางเต๊นท์อะไรเรียบร้อย แล้วก็ไปหาถ่ายรูปเล่นแถวน้ำตก ป้ายน้ำตกอยู่นี่แสดงว่าแคมป์ก็คือน้ำตก
แต่สถานการณ์มันไม่เป็นแบบที่คิดเสมอไป ฝนไม่หยุดเลยนี่สิ ที่ตากผ้าคือไม่มี แถมพื้นที่ใช้กางเต๊นท์ก็เปียกไปหมด แม้จะหาผ้าใบมากางรองฝนไว้ชั้นนึงแต่เราประเมินกันแล้วว่าถ้าฝนไม่หยุดตก น้ำนองเต๊นท์แน่นอน ช่วงนี้ผมเหนื่อยมากๆ จนไม่อยากยกกล้องมาถ่ายสภาพแคมป์ ไม่มีรูปสักใบ จินตนาการเอาละกันเน้อ ฮ่าๆ
ว่าแล้วก็หาอะไรกินดีกว่า เดินทางเหนื่อยขนาดนี้ก็มีหิวเป็นปกติ พอดีมีป้าขายไส้กรอกอยู่ตรงนั้นพอดี
หลังกางเต๊นท์เสร็จเรียบร้อยก็มานั่งคุยกันว่าจะไปน้ำตกเลย หรือจะไปตอนเช้าดี
ถ้าไปเลย = ไปตอนนี้เลย เดี๋ยวมันจะค่ำ แล้วกลับมานอน พรุ่งนี้เช้าตื่นมาสายๆ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ
ถ้าไปเช้า = ตื่นตี 05.00 น. เก็บข้าวของ เพื่อเดินไปน้ำตก แล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถ
เอ๊ะ !! ทำไมฟังแล้วมันเหมือนอยู่ไกลหล่ะ ก็เราถึงป้ายน้ำตกแล้วหนิ แรงก็ไม่เหลือแล้ว (อันนี้แค่คิดในใจนะ) แต่พวกเราไม่อยากตื่นเช้ากันเลยเลือกเดินต่อเลย
ก่อนขึ้นสะพานมีป้ายเขียนไว้ว่า "ก่อนข้ามสะพานยิ้มหน่อย" เอ๊ะ !! ทำไมต้องยิ้มมมม ?? ผมว่ามันไม่ใช่แล้วววว ที่ว่าน้ำตกอยู่ใกล้ๆ
ข้ามสะพานไปปั๊บ ปีนเลยจ้าาาาา พื้นก็ลื่นมาก คว้าอะไรได้คว้าเลย เขาต้องเอาไว้มาปักไว้ให้เรายึดเพื่อปีนขึ้นไป น้องที่เอาไม้ข้างทางมาค้ำช่วยเดินก็โยนทิ้งต่อหน้าต่อตาผมเลย ฮ่าๆ (หลักฐานอยู่ในวีดีโอต้นรีวิวเน้อ)
พอดีมีคนเดินสวนกลับมาจากทางไปน้ำตก สมาชิกคนนึงเลยถามไปว่าใกล้ถึงหรือยัง เขาบอกว่าอีก 50 นาทีถึง ผมคิดในใจว่าแบบ....จะเดินถึงมั้ย หมดแรงแล้ววววว แต่มาแล้วไง ไปต่อๆๆ ลุยๆๆๆ
ถ้าเปรียบเทียบกับทางเดินตอนไปจุดตั้งแคมป์นี่ตอนนั้นธรรมดาไปเลยครับ ทางไปน้ำตกมันส์กว่ามาก ทั้งลื่นทั้งล้ม เฮฮากันไป
ถึงตรงนี้น้ำเชี่ยวมาก พี่ที่นำทริปต้องให้จับมือข้ามธารน้ำ
จนกระทั้งในที่สุดก็เจอป้ายว่าถึงแล้ว...สักที เราก็รีบมองหาแล้วก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วเปล่งวาจาเบาๆ ว่า "ไหนนนนนนน น้ำตกกก" เท่านั่นก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า โดนป้ายหลอกอีกแล้ววววว ~
เดินต่อไปค่ะ..,
เดินมาอีกประมาณ 5 นาทีก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเลยคิดว่าที่นี่แหล่ะ !! ที่นี่ต้องใช่น้ำตกแน่ๆ ผมหันไปถามพี่ว่า "ไหนอ่ะ น้ำตกรูปหัวใจ" พี่บอกว่า "นู่นนน ขึ้นไปอีก" โธ่เอ้ยยยย ยังไม่ถึงอีกหรอ TT
ตอนนั้นพี่ที่นำทริปก็หันมาบอกเบาๆ ว่า "เอาจริงๆ นะ พี่ก็ยังไม่เคยมา" อ้าวววว เพ่ !! ละไม่บอกก่อน ปล่อยให้เราถาม "ใกล้ถึงยังๆ" ตลอดทาง (_ _")
เดินไปอีกแป๊บเดียว ปีนอีกละ ! โอยยยยยย ขอนั่งเฉยๆ แล้วมีคนมาแบกไปได้มั้ย ฮ่าๆ
และแล้ว...ในที่สุดเราก็ได้เห็นน้ำตกรูปหัวใจ "ปิตุ๊โกล" (ขออภัยในความเบลอของกล้อง เปียกหมดทั้งตัวเลยจ้าา) มุมที่เรายืนชมอยู่มันเป็นรูปหัวใจจริงๆ ด้วย ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติมันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ความเชี่ยวของสายน้ำ ความสูงของน้ำตกไกลสุดลูกหูลูกตา ความเหนื่อยที่แทบไม่อยากก้าวขา รวมๆ กันกลายเป็นเรื่องราวที่โครตสนุกอีกเรื่องนึง.., วินาทีนั้นเราต่างก็วิ่งถ่ายรูปกันสนุกสนานจนลืมความลำบากระหว่างการเดินทางไปเลยครับ
จริงๆ ถ้าในความคิดเห็นของผม วิวน้ำตกตอนจบของการเดินทางไม่ใช่ภาพที่สวยเหมือนทริปอื่นๆ แต่ประสบการณ์ ความทรงจำ ความเฮฮาระหว่างสมาชิกผู้ร่วมเดินทาง ทั้งหมดนั้นทำให้ทริปนี้เป็นทริปที่แสนพิเศษอีกทริปหนึ่งเลยหล่ะ
หลังจากสนุกสนานกับการเก็บถาพน้ำตกอันงดงามก็ถึงเวลาต้องเดินกลับแคมป์ ประเด็นคือ มาทางไหน เดินกลับทางเดิม เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องเดินครับ >< พอกลับมาก็ไปอาบน้ำสระผมตรงธารน้ำข้างๆ แคมป์ ทานมื้อเย็นเสร็จรีบเข้านอนตั้งแต่ 21.00 น. นอนไปได้แป๊บเดียว รู้สึกพื้นเปียกๆ เอาแล้ววววว น้ำมาละคร๊าบบบ ผมเอามือถือมาเปิดดูนาฬิกาพร้อมภาวนาให้เวลาผ่านไปสัก 3-4 ชั้วโมง ปรากฎว่ามันยังเพิ่งผ่านไปได้ 45 นาทีเองคร๊าบบบ ท่านผู้โชมมมมมม !!
สรุปผมออกมานั่งตรงโต๊ะทานข้าวจนเช้าแหล่ะครับ แล้วก็ได้หลับไปชั่วโมงนึง ก่อนลุกทานข้าวเช้า เก็บของเดินทางกลับ ช่วงประมาณ 07.00 น.
จริงๆ เราออกก่อนเวลาด้วยนะ คือสภาพแต่ละคนที่ไม่ได้นอน เสื้อผ้าเปียกหมด ใครๆ ต่างอยากรีบกลับ ฮ่าๆ
ถือเป็นทริปที่สนุกและได้ความทรงจำดีๆ กลับไปมากมายเลยทีเดียว เป็นทริปเดินป่าครั้งแรกที่ประทับใจมากๆ แต่ถ้าใครมาชวนไปเดินป่าหน้าฝนอีก ผมจะให้ 3 คำแด่คนๆ นั้น "อย่า หา ทำ" ขอไปเดินหน้าหนาวชิวๆ หน่อยแล้วกัน เปียกๆ แบบนี้ไม่ไหวจริงๆ จบการรีวิว !!
ตอนเดินกลับมีน้องหมาเดินมาส่งด้วยนะ กลับมาถึงก็เพิ่งรู้ว่าชื่อน้องแดง (เห็นคนแถวนั้นเรียกนะ)
ติดตามผลงานได้ที่ลิงก์ด้านล่าง
แบกกล้องไปท่องโลก EP. อื่นๆ
https://th.readme.me/id/AYPhot...
YouTube channel
https://www.youtube.com/user/e...
Facebook
https://web.facebook.com/AYFOT...
Arnuphap Yaiphimai
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.03 น.