จากที่ผมเคยเขียนรีวิว “ราชบุรี มีอะไรมากกว่าที่คิด https://th.readme.me/p/531 และ “ราชบุรี มีอะไรมากกว่าที่คิด#2 https://th.readme.me/p/3064 ไว้ ซึ่งได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในราชบุรีไปมากมายพอสมควร วันนี้ผมได้มีโอกาสกลับไปเที่ยวราชบุรีอีกครั้ง และได้ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ นอกเหนือจากรีวิวที่ผมได้ทำไว้ เลยอยากจะนำของดีของราชบุรีมาบอกต่อ ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยไป หรือไม่เคยรู้ว่า ราชบุรีก็มีสถานที่แบบนี้ด้วยเหรอ
สำหรับทริปนี้ ผมวางแผนเลาะไปยังอำเภอบ้านโป่ง สวนผึ้ง บ้านคา เมือง โพธารามและอำเภอบางแพ ไปดูกันครับว่าแต่ละอำเภอ มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
เริ่มที่อำเภอบ้านโป่ง เปิดทริปด้วยการไปไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ที่วัดโพธิ์รัตนาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า วัดโพธิ์คู่ เพราะเมื่อก่อนมีต้นโพธิ์ขึ้นคู่กันอยู่หลายคู่ วัดนี้เป็นวัดเก่าที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราว พ.ศ.2485 เดิมอุโบสถสร้างด้วยอิฐและปูน ต่อมาภายหลังได้มีการสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ โดยมีการหุ้มสแตนเลสครอบหลังเดิมทั้งหลัง ซึ่งใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทครับ เท่าที่ผมรู้ โบสถ์สแตนเลสแบบนี้ ในประเทศไทยมี 3 แห่ง คือที่วัดปากลำขาแข้ง จ.กาญจนบุรี ที่วัดหัวสวน จ.ฉะเชิงเทรา และที่วัดโพธิ์คู่แห่งนี้ครับ
หากใครวางแผนมาเที่ยวราชบุรี ผมอยากให้ลองแวะมาชมความงดงามแปลกตาของโบสถ์สแตนเลสแห่งนี้ดูครับ
ไปพักคลายร้อน จิบเครื่องดื่มเย็นๆ กันที่ Unique77 คาเฟ่เก๋ๆ แห่งบ้านโป่งครับ
Unique 77 เป็นคาเฟ่ที่ปรับปรุงมาจากโรงงานเก่าที่ยังคงสภาพเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือความเก๋ ด้านในตกแต่งสไตล์ Loft สิ่งแรกที่เปิดประตูเข้ามาด้านในคือกลิ่นของกาแฟที่เตะจมูกอย่างแรง นอกจากนี้ด้านในยังมีของเก่าที่นำมาตกแต่งให้ลูกค้าได้มาถ่ายภาพกันหลายมุมเลยทีเดียว
มาที่ Unique 77 นอกจากจะได้จิบเครื่องดื่มแล้ว ยังได้ชมของสะสมหายาก ทั้งรถคลาสสิคหลากหลายรุ่น รวมถึงของเก่าและงานศิลปะต่างๆ รถบางรุ่น ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นของจริงๆ กันที่นี่ ส่วนใหญ่จะเคยผ่านตาแต่ในจอทีวีครับ
นับเป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากๆ ครับ
จากนั้นผมตีรถยาวไปยังอำเภอสวนผึ้ง เพื่อขึ้นไปชมวิวบนเขากระโจมครับ ต้องบอกก่อนเลยว่าการขึ้นไปยังเขากระโจม ต้องใช้รถ 4WD เท่านั้น แต่ถ้าใครไม่มี ก็สามารถใช้บริการรถเหมาได้นะครับ จริงๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะขึ้นเขากระโจมกันแต่เช้ามืดเพื่อไปชมทะเลหมอก หรือไม่ก็ขึ้นกันไปช่วงเย็นๆ เพื่อไปกางเต้นท์ท้าความหนาวกัน แต่ช่วงเช้าผมวางโปรแกรมไว้อีกสถานที่หนึ่ง จึงต้องเลือกขึ้นเขากระโจมกันในช่วงบ่ายๆ ครับ
ระยะทางจากตีนเขาถึงยอดเขากระโจม ประมาณ 10 กม. สภาพเส้นทางบางช่วงเป็นหินใหญ่ หินลอย บางช่วงก็สูงและ ชัน มีช่วงที่ต้องข้ามลำธารด้วย ช่วงที่ผมมาไม่ใช่หน้าฝน ระดับน้ำในลำธารยังถือว่าสูงอยู่ครับ โดยรวมแล้วเส้นทางถือว่าโหดอยู่เหมือนกัน
นอกจากรถ 4WD แล้ว ยังมีรถมอเตอร์ไซด์วิบากมาร่วมประลองความท้าทายด้วย เส้นทางช่วงที่ใกล้จุดหมายปลายทาง ค่อนข้างสูงและชัน ประกอบกับเป็นหินลอย ทำให้รถมอเตอร์ไซด์ค่อนข้างทุลักทุเลครับ
เขากระโจมตั้งอยู่ในแนวสุดเขตประเทศไทยทางภาคตะวันตก มีอาณาเขตติดกับประเทศพม่า โดยมีความสูง 1,045 เมตรจากระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวสามารถมาชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดเดียวกัน นอกจากนี้ช่วงเช้าๆ ถ้ามาช่วงปลายฝนต้นหนาว จะสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ด้วยครับ
ผมมาในช่วงฤดูหนาวซึ่งไม่มีความรู้สึกถึงความหนาวเลย แถมยังขึ้นมาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ บอกเลยว่า ผิวหนังแทบจะละลาย เนื้อตัวนี่โดนแดดจนแสบไปหมด รีบถ่ายรูปเก็บบรรยากาศแล้วคงต้องรีบกลับลงไปเที่ยวที่อื่นต่อครับ
จุดหมายต่อไปอยู่ที่บ้านหอมเทียน เมื่อก่อนที่นี่ดังมากๆ นักท่องเที่ยวมากันแบบไม่ขาดสาย แต่ตั้งแต่สถานการณ์โควิดระบาด ทำให้นักท่องเที่ยวน้อยลงไปถนัดตา ด้านในยังพอมีร้านรวงเปิดจำหน่ายสินค้ากันอยู่บ้าง แต่อาจจะไม่คึกคักเหมือนเดิมครับ
การเข้าชมด้านใน มีค่าเข้าชมคนละ 60 บาท โดยหางบัตรจะมีคูปองส่วนลดจากร้านอาหารด้านใน (ใช้ได้เฉพาะบางร้าน) และก่อนเดินทางกลับ สามารถรับเทียนหอมที่ระลึกกลับบ้านได้คนละ 1 ชิ้นครับ
บ้านหอมเทียนเป็นสถานที่ที่ตกแต่งด้วยของเก่าและของสะสมมากมาย บางจุดมีการแสดงผลงานสร้างสรรค์ศิลปะจากเทียนในรูปแบบต่างๆ ที่มีสีสันสะดุดตา
ด้านในมีคาเฟ่ ที่มีการนำของสะสมเก่าๆ มาจัดแสดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ พัดลม กระติกน้ำแข็ง แก้ว ดูเก๋ไก๋มากๆ ครับ
ด้านนอกคาเฟ่ มีจุดถ่ายรูป แถมยังสามารถชมวิวเทือกเขาตะนาวศรีได้ด้วยครับ
จากบ้านหอมเทียน ขอแปลงกายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ไปให้อาหารแกะกันที่ The Scenery Vintage Farm ครับ
The Scenery Vintage Farm เป็นทั้งรีสอร์ท ร้านอาหาร และฟาร์มทัวร์ที่จำลองบรรยากาศหมู่บ้านชาวฟาร์มสไตล์วินเทจของชนบทแถบยุโรปมาไว้ในสวนผึ้งครับ การเข้าชมที่นี่มีค่าบริการท่านละ 100 บาท ใน 100 บาท เราสามารถเข้าชมการแสดงของแกะและสุนัขต้อนแกะ ร่วมสนุกที่ลานกิจกรรมได้ 2 กิจกรรม ได้หญ้าสำหรับเลี้ยงแกะ 1 กำ ได้ส่วนลด 10 บาท สำหรับการซื้อไอศกรีมนมแกะ และคูปองสำหรับซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว ฟรี 1 แก้วครับ แต่เนื่องจากผมมาถึงเย็นเกินไป เลยทำให้ไม่ทันได้ดูการแสดงของแกะครับ
แต่ไม่เป็นไร ถึงดูการแสดงไม่ทัน แต่ก็ยังสามารถร่วมกิจกรรมจากหางบัตรได้อยู่ สำหรับลานทำกิจกรรม มีเกมส์ให้เล่น มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมส์ปาลูกโป่ง การยิงธนู การยิงปืนยาว ให้ความรู้สึกคล้ายๆ การมาเที่ยวงานวัดอยู่เหมือนกัน เราสามารถเล่นได้ฟรี 2 กิจกรรมครับ
หลังเล่นกิจกรรมครบแล้ว สามารถไปรับหญ้าเพื่อไปเลี้ยงแกะในทุ่งเลี้ยงแกะกลางหุบเขาได้เลยครับ
นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ ในบรรยากาศบ้านเรือนแบบ English Country ด้วย
ใครมีลูกเล็กเด็กแดง แนะนำให้มาเที่ยวที่นี่นะครับ รับรองเด็กๆ ชอบแน่ๆ
เนื่องจากช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหยุดยาว แต่ผมดันชะล่าใจ คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่สวนผึ้งน้อย เลยไม่ได้ทำการจองห้องพักมาล่วงหน้า แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทั้ง Walk in ก็แล้ว ทั้งโทรหาที่พักจากหน้าเวปต่างๆ ก็แล้ว ปรากฏว่าที่พักเต็มหมด แต่โชคก็ยังพอเข้าข้างผมอยู่บ้าง เมื่อโทรไปที่ เดอะ โลเคชั่น รีสอร์ต (The Location Resort) แล้วปลายสายบอกว่าที่พักว่าง จะรออะไร จัดซิครับ
เดอะ โลเคชั่น รีสอร์ต อยู่บนเส้นทางที่จะมาเขากระโจม เลยจาก La Toscana ไปอีกประมาณ 3 กม. ซึ่งอยู่ค่อนข้างลึกพอสมควรครับ แต่เมื่อมาถึง ต้องยอมรับเลยว่า เป็นรีสอร์ทที่ใหญ่มากๆ เลยทีเดียว ลานจอดรถจะอยู่ด้านหน้ารีสอร์ท จากนั้นจะต้องนั่งรถกอล์ฟขึ้นไปยังลอบบี้และห้องพัก โดยทั้งลอบบี้และห้องพักจะอยู่บนเนินสูงครับ
ห้องพักใหญ่โต พอที่เด็กจะวิ่งเล่นกันได้เลย ห้องสะอาด มีระเบียงให้ออกไปชมวิวได้ด้วย ห้องน้ำก็กว้าง แยกส่วนเปียกส่วนแห้งชัดเจนครับ
บริเวณระเบียงห้องที่ผมพัก อยู่เหนือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่เลยครับ ช่วงเช้ายังสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมสายหมอกบางๆ ได้ที่ระเบียงห้องเลย โดยรวมถือว่าดีงามครับ
จริงๆ ห้องพักรวมอาหารเช้าด้วย แต่ผมไม่ได้ทาน เนื่องจากห้องอาหารเปิดให้บริการช่วงสาย แต่เนื่องจากผมมีกิจกรรมที่จะต้องทำตอนเช้า เลยต้องรีบออกเดินทางครับ
สำหรับกิจกรรมที่ทำให้ผมต้องรีบออกเดินทาง ก็คือ การมาสัมผัสวิถีชีวิตชาวไทยเชื้อสายกระเหรี่ยงที่ ตลาดโอ๊ะป่อยนั่นเอง
ตลาดโอ๊ะป่อย ตลาดพื้นบ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมลำน้ำภาชี พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง จะนำอาหารท้องถิ่นทั้งคาวและหวานมาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวครับ ตลาดจะเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่มีวันหยุดต่อเนื่องวันเสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น โดยตลาดเปิดตั้งแต่เวลา 07.00-14.00 น. ครับ
สิ่งที่เป็นพระเอกของตลาดโอ๊ะป่อย ผมขอยกให้กับการใส่บาตรยามเช้าครับ นักท่องเที่ยวสามารถนำอาหารสดหรืออาหารแห้งมาใส่บาตรกันได้ แต่ถ้าหากว่าไม่สะดวกในการจัดเตรียมของ ทางตลาดโอ๊ะป่อยก็ได้จัดเตรียมเป็นชุดใส่บาตรไว้ในชะลอม ในราคา 49 บาท โดยรายได้จะนำไปพัฒนาวัด โรงเรียน และชุมชนในพื้นที่ครับ
ราวๆ 8 โมงเช้า เสียงจาก “แกว” เครื่องเป่าของชาวกระเหรี่ยงที่ทำจากเขาควาย ดังก้องกังวานมาแต่ไกล ส่งสัญญาณให้ผู้ที่ได้ยินเสียงมารวมตัวกันเพื่อเตรียมที่จะใส่บาตรพระ ผมมองไปที่ต้นเสียง ซึ่งอยู่ที่คุ้งน้ำภาชี ก็ได้เห็นผู้ใหญ่บ้านยืนอยู่บนแพไม้ไผ่ กำลังเป่าแกว ด้านหลังมีพระสงฆ์อยู่ 5 รูป ยืนอยู่บนแพด้วยเช่นกัน
ไม่นานนักแพก็ได้ถูกถ่อมายังท่าน้ำด้านหน้าตลาดโอ๊ะป่อย ณ เวลานั้นญาติโยม รวมถึงนักท่องเที่ยว ต่างรอที่จะใส่บาตรพระกันอย่างพร้อมเพรียงครับ
เมื่อกิจกรรมใส่บาตรเสร็จสิ้นลง ก็ถึงเวลาเดินสำรวจบรรยากาศตลาดกันสักนิดหน่อย ตลาดแห่งนี้ร่มรื่นมากๆ ทั่วทั้งบริเวณจะร่มครึ้มด้วยร่มเงาของแมกไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงลำธาร เสียงนก เสียงไม้ ดังเซ็งแซ่ และนี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “โอ๊ะป่อย” ซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยง มีความหมายว่า “พักผ่อน” นั่นเองครับ
บรรยากาศก็ดี อาหารก็น่าทาน บางเมนูผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นที่นี่
นอกจากจะมีอาหารให้เลือกชิมหลายอย่างแล้ว ที่นี่ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นฝีมือของชาวบ้าน รวมถึงพืชผักพื้นถิ่นต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับไปด้วยครับ
ใครที่มาเที่ยวสวนผึ้ง ผมไม่อยากให้พลาดตลาดแห่งนี้เลยจริงๆ แนะนำให้มากันแต่เช้า มาทำบุญตักบาตรกัน รับรองเลยว่า คุณจะหาบรรยากาศการตักบาตรแบบนี้จากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว นอกจากที่นี่ ตลาดโอ๊ะป่อย ครับ
เลยจากตลาดโอ๊ะป่อยไปนิดหน่อย เป็นที่ตั้งของสวนเลมอนพสุธาราครับ
ประโยชน์หลักๆ ของเลมอนอยู่ที่เปลือก เจ้าของสวนจึงนำผลของเลมอนไปทำเป็นของทานเล่น อย่างเลมอนสไลด์อบน้ำผึ้งอบแห้ง เลมอนพริกเกลือ รวมถึงนำไปผสมกับน้ำสับปะรดท้องถิ่น เป็นน้ำสับปะรดเลมอน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเลมอนอีกหลายอย่าง เช่น น้ำมันหอมระเหย สบู่ แชมพู วางจำหน่ายครับ
ด้านข้างของร้านจำหน่าย มีลำธารด้วย บรรยากาศดีจริงๆ ครับ
สวนเลม่อนแห่งนี้ปลูกเลมอนพันธุ์ยูเรก้าและพันธุ์ฮาวาย ผลจะใหญ่ๆ ยาวๆ หน่อย บางลูกใหญ่กว่าฝ่ามือผู้ใหญ่อีกครับ การปลูกเลมอนของที่นี่จะไม่ใช้สารเคมีเลย จะใช้เพียงปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และฮอร์โมนที่ทางสวนทำเอง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจะบริสุทธิ์ ตามคอนเซป Purifying Life
ช่องทางการจำหน่ายสินค้าแปรรูปจากเลมอนของพสุธารามีที่ Siam Paragon, Emquartier , Lemonfarm แต่เมื่อเรามาถึงถิ่นแล้ว สามารถช้อปและชิมกันได้ที่สวนเลยครับ
จากพสุธารา ไปต่อกันที่ Coro Field ครับ
Coro Field เป็นฟาร์มสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีทั้งฟาร์มและร้านอาหาร ที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม ให้นักท่องเที่ยวได้ช้อป ได้ชิมกันด้วย โดยชื่อ Coro Filed มาจากคำว่า Coro ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “เวลา” ส่วนคำว่า Field หมายถึง “สนามกว้าง” โดยเจ้าของตั้งใจว่า ใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่ จะมีความสุขไปกับชีวิตที่ช้าลง พร้อมความรู้สึกอิสระในความเป็นตัวตนของเราครับ
ผลิตผลทางการเกษตรของฟาร์มมีให้เลือกหลายอย่าง แต่ที่เป็นพระเอกคงต้องยกให้เมลอน มีจำหน่ายอยู่ที่ Coro Market ครับ
มาที่นี่ ต้องมาชิมผลิตผลจากเมล่อนครับ ขอแนะนำโทมิเมล่อนสดปั่น ทานคู่กับโทมิเมล่อนปังลาวา คือดีงามมาก มีจำหน่ายที่ Coro Café ครับ
ด้านหลังร้านเป็น Coro House โรงเรือนปลูกเมลอน ยืนชมจากด้านนอกโรงเรือนได้ ส่วนด้านข้าง เป็น Coro Garden แปลงปลูกผักปลอดสารพิษนานาพันธุ์ สามารถเดินชมด้านในได้เลยครับ
ส่วนด้านหลังสุดคือ Coro Me เป็นโซนกิจกรรมตกแต่งต้นไม้ด้วยตัวเอง ภายใต้บรรยากาศแบบ Minimalist สไตล์ญี่ปุ่นครับ โดยเราสามารถเลือกของประดับตกแต่งต้นไม้ตามสไตล์ที่ต้องการได้ มีให้เลือกทั้งพันธุ์ไม้ กระถาง หินกรวด และของประดับมากมาย มาตกแต่งกันได้ตามจินตนาการของแต่ละคนเลยครับ
Coro Field นับเป็นอีกหนึ่งจุดแวะพักผ่อนได้ดีเลยทีเดียวครับ
จากอำเภอสวนผึ้ง ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอบ้านคา เพื่อไปชมบรรยากาศของ ภูผา ป่าสน สถานที่กางเต็นท์สวยๆ ริมอ่างเก็บน้ำท่าเคย จุดกางเต็นท์แห่งนี้ให้ 2 อารมณ์จริงๆ ใครใคร่กางเต็นท์ในทุ่งสน ก็จะได้บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวเมืองนอก ส่วนใครใคร่กางเต็นท์ริมน้ำ ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในอ้อมกอดของขุนเขา และหากสังเกตดีๆ จะได้เห็นฟูจิเมืองโอ่งด้วยนะครับ
สำหรับใครที่ไม่ใช่สายกางเต็นท์ ก็สามารถแวะมาชมบรรยากาศ ถ่ายภาพสวยๆ ทานอาหาร หรือจิบเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นได้เหมือนกัน เพราะจุดกางเต็นท์แห่งนี้อยู่ในร้านอาหารภูผาป่าสนครับ
จากนั้นไปหามุมถ่ายภาพในมุมมองแปลกๆ ที่ แกรนด์แคนยอน แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของราชบุรี จริงๆ แล้วแกรนด์แคนยอนแห่งนี้เป็นเหมืองหินเอกชนที่ได้ทำการขุดจนเป็นแอ่งขนาดใหญ่และเมื่อฝนตกลงมา แอ่งขนาดใหญ่จึงกลายเป็นแอ่งเก็บกักน้ำฝน จนดูคล้ายทะเลสาบขนาดเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาขนาดย่อม บางจุดของทิวเขามีลวดลายที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝน ดูสวยงามแปลกตา น้ำในแอ่งบางแอ่งเป็นสีเขียวมรกต มาเที่ยวที่นี่แล้วให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยว Moonland แคว้นลาดักห์ ประเทศอินเดียเลยครับ
ต้องขอยอมแพ้กับแดดเมืองไทยจริงๆ ผมอยากจะหามุมแปลกๆ ใหม่ๆ ที่แกรนด์แคนยอน แต่รู้สึกเนื้อตัวเริ่มแสบ จากการโดนแดดแผดเผา คงต้องยอมแพ้ครับ ไว้มีโอกาสหน้า จะกลับมาล้างตาที่นี่ในช่วงเย็นๆ ให้ได้ คาดว่าคงจะได้แสงสวยๆ แดดไม่ร้อน แถมยังได้ชมพระอาทิตย์ตกอีกด้วย
ยังคงวนเวียนอยู่ในตัวอำเภอเมืองราชบุรี กับอุทยานหินเขางูครับ เดิมที่นี่เป็นแหล่งระเบิดและย่อยหินที่สำคัญของไทยตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์กันเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นปูนที่มีคุณภาพดี ต่อมามีผู้เล็งเห็นถึงความเสื่อมโทรมของสภาพภูมิประเทศ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นศาสนสถานอันเก่าแก่ จึงมีการยกเลิกสัมปทานการระเบิดและย่อยหินบริเวณนี้ หลังจากการยกเลิกสัมปทาน เขางูก็กลายเป็นเหมืองร้าง มีสภาพทรุดโทรม ทางจังหวัดราชบุรีจึงได้พัฒนาให้เขางูเป็นสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวจนถึงทุกวันนี้ครับ
ภายในอุทยานหินเขางู จะมีสะพานข้ามบึงน้ำกลางหุบเขาที่ถูกออกแบบอย่างสวยงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เดินข้ามไปยังใจกลางของหุบเขา สะพานแห่งนี้นับเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานหินเขางูไปแล้วครับ นอกจากนี้ยังมีบริการเรือถีบอีกด้วย ผมว่าช่วงเย็นๆ บรรยากาศน่าจะดีมากๆ เลยครับ
จากนั้นผมไปหาที่นั่งพักผ่อนชิวๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง ที่ SOP Café ในอำเภอโพธารามครับ
SOP Café (Sense of Place) เป็นคาเฟ่ริมแม่น้ำแม่กลอง ที่มีการออกแบบเฉพาะตัวจริงๆ ครับ ทางเข้าจะเป็นอุโมงค์เหล็ก โดยแผ่นเหล็กเผยให้เห็นสีสนิม ออกแบบให้มีช่องแสงส่องเข้ามา เป็นการเล่นกับแสงและเงา เกิดเป็นมิติที่สวยงาม เมื่อเดินจนสุดอุโมงค์ จะพบกับแผ่นไม้ยื่นออกไป จุดนี้เป็นที่นิยมมาก ลูกค้าต่างจะมารอถ่ายภาพกันเป็นแถว จากจุดนี้มองออกไปจะเห็นสระน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางร้าน ด้านขวามือจะเป็นร้านกาแฟครับ
ต้องยอมรับแนวคิดของผู้ออกแบบจริงๆ การออกแบบเน้นในเรื่องแสงและเงาเป็นหลัก เส้นทางเดินจากอุโมงค์สนิมไปยังร้านกาแฟ ก็ยังมีการทำเป็นโครงเหล็กที่อาจจะมองดูแล้วธรรมดา แต่เมื่อแสงสาดส่องมา จะมีเงาที่พาดผ่านมายังทางเดิน เกิดเป็นลวดลายที่แปลกตาเลยทีเดียว
สำหรับพื้นที่นั่งชิว มีทั้งแบบ indoor และ outdoor ทุกจุดจะได้สัมผัสวิวแม่น้ำแม่กลองแบบใกล้ชิด สำหรับผมเลือกที่จะนั่งชิวในบรรยากาศ outdoor ใต้ต้นไม้ใหญ่ รับลมธรรมชาติแบบเต็มๆ นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ จนไม่อยากจะลุกไปไหนต่อเลยครับ SOP Café เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น. ครับ
ผมเลือกปิดทริปราชบุรีที่ ณ สัทธา อุทยานไทย ในอำเภอบางแพครับ
ณ สัทธา เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม ที่ปลูกฝังรากเหง้าแห่งความเป็นไทยเพื่อการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะไทยที่งดงาม ที่นี่ถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อายุนับสิบปี
ช่วงที่ผมไป มีการจัดแสดงงานไฟประดับแห่งปี ทำให้ช่วงค่ำคืนที่นี่เต็มไปด้วยสีสันตระการตา ใครอยากจะไปสัมผัสบรรยากาศแบบผม คงต้องรีบไปนะครับ เพราะงานมีถึง 30 มกราคม 2565 เท่านั้น
ภายใน ณ สัทธา แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 8 จุด ผมเองเดินชมไม่ครบทุกจุดหรอกครับ เพราะสถานที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว
จุดแรกผมเลือกเข้าชมที่ ณ สัทธานุสรณ์ ซึ่งเป็นอาคารที่จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสของบุคคลสำคัญผู้เป็นต้นแบบ คนดีของแผ่นดิน มีทั้ง สืบ นาคะเสถียร, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, ท่านโฮจิมินห์ และท่านอื่นๆ กว่า 14 ท่านครับ
พื้นที่ในส่วนของ ณ สัทธาปฏิทา มีการนำพระพุทธรูปที่นำมาจัดแสดงบนฐานพระสมัยอยุธยามีขนาดเท่าจริง เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นโดยการนำเอาลักษณะเด่นของพุทธลักษณะสมัยอยุธยาตอนต้น หรือที่เรียกว่าพระแบบอู่ทอง สกุลช่างอยุธยา-อู่ทอง มาผสมผสานกันครับ
อีกองค์คือพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน เป็นประติมากรรมในดินแดนสุวรรณภูมิที่สร้างขึ้นโดยฝีมือช่างไทยเป็นครั้งแรก สำหรับพระพุทธรูปที่นำมาประดิษฐานที่ ณ สัทธา บนฐานพระพุทธรูปจำลองเท่าขนาดจริงจากโบราณสถานวัดป่าสัก ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน สิงห์หนึ่งครับ
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายจุดที่มีการตกแต่งดวงไฟอย่างวิจิตรตระการตา ทำให้ตื่นตาตื่นใจมากๆ ครับ
บริเวณนี้คือลานอวโลสัทธา เป็นที่ตั้งของพระอวโลติเกศวร ผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก
บริเวณลานมหาราชกษัตรา จากภาพด้านซ้ายคือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ด้านขวาคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จริงๆ มีอีกหนึ่งองค์ คือ สมเด็จพระปิยะมหาราชครับ
งานไฟประดับ มีให้ชมเฉพาะวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2565 นะครับ โดยบัตรมีจำหน่ายทั้งแบบเข้าชมงานกลางวัน เข้าชมงานกลางคืน และแบบเข้าชมทั้งวัน โดยช่วงงานกลางคืนจะเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.00 น. แนะนำให้ไปกันตั้งแต่ 18.00 น. เลยครับ เพราะจะได้เห็นบรรยากาศทั้งแบบที่มีแสงธรรมชาติ และแสงจากดวงไฟหลากสีสันครับ
อย่าให้ความคิดเดิมๆ ของคุณคิดเพียงแค่ว่าราชบุรีคือเมืองผ่าน แต่ให้ลองปักหมุดตั้งใจไปสัมผัสราชบุรีดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่า ราชบุรี มีดีกว่าที่คิดจริงๆ
ปล.เข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 13.24 น.