ครั้งแรกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยรถทัวร์มาลงที่บ้านวังหลวง ตรงปากทางหมู่บ้านกระเหรี่ยงป่าแป๋ ลงรถด้วยอาการงัวเงีย แต่ก็ใกล้เช้าฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เรานั่งรอที่ศาลา หวังให้ร้านข้าวฝั่งตรงข้าวเปิด และแล้วเราก็เห็นหน้าเจ้าของร้านเปิดหน้าต่างมา และบอกว่าวันนี้ร้านปิด!!! แต่ด้วยความหน้าตาน่าสงสารของพวกเรา พี่หยิมเจ้าของร้านก็เลยหุงข้าว ทำกับข้าวมาให้เรา 2-3 อย่าง พร้อมทั้งข้าวห่อระหว่างทางอีก เป็นมื้อที่เราคงไม่มีวันลืม เพราะพี่เขาไม่ยอมรับเงินค่าข้าวเลย แล้วสักพักพ่อหลวงของหมู่บ้านป่าแป๋ก็ขับกระบะมารับเราพอดี
กางแผนที่
ดอยป่าแป๋ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดลำพูน อยู่ในเขตตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านกะเหรี่ยงป่าแป๋ เป็นยอดดอยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ถ้ามองจากในหมู่บ้านจะเห็นเป็นรูปช้างหมอน บนยอดดอยเป็นภูเขาหิน สลับกบต้นไม้แคระ รวมไปถึงเจดีย์ก้อนหินที่ ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษ ได้นำมากองไว้เป็นเวลากว่า 100 ปี ถือเป็นภูเขาที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีข้อห้ามไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นไปบนยอดดอยหรือบนหัวช้างเด็ดขาด
ทีละก้าว ทีละก้าว
รถโฟล์วิลที่พ่อหลวงเอามารับพวกเรา สภาพรถก็ตามการใช้งาน มีเหล็กกั้นทั้งสองข้าง เพื่อกันตก เพราะบางครั้งต้องบรรทุกคนจำนวนมาก แรกๆ พวกเรายังห้าวและรู้สึกสนุก ยืนเกาะเหล็กดูวิวไปเรื่อยๆ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งเราถึงกับต้องหันหน้ามามองกัน ได้แต่คิดในใจ จะผ่านไปได้ไหม เพราะบางช่วงถนนแคบมาก เป็นเหว ทางแฉะเพราะฝนที่ตกทุกวันในช่วงนี้ ดินแดงติดเต็มล้อ เลอะไปทั่วทั้งรถ และตอนนี้พวกเราได้เปลี่ยนมานั่งกันซะเรียบร้อยเลย แม้บางช่วงถนนจะเป็นทางปูนบ้างแต่ก็ชัน กว่าจะถึงจุดที่รถมาจอดเพื่อให้เดินก็ปวดไปทั้งตัว
ซึ่งครั้งที่สองก็ลุ้นไม่แพ้กันแม้ว่าจะขัยรถมาเอง ยิ่งตอนที่มีรถสวนทางมานี่ลุ้นระทึกมาก หลังจากสมาชิกพร้อม เราก็เริ่มเดินจากหมู่บ้านทะลุออกมาเหมือนจะออกไปสวนของชาวบ้านผ่านต้นไม้ใหญ่ตรงทางแยก เป็นที่ตื่นตาตื่นใจมากสำหรับต้นไม้ต้นนี้ ครั้งแรกที่มาเราก็ผ่านตรงจุดนี้ได้ด้วยดีนะ แต่ทำไมครั้งที่สองถึงมีคนหลงเดินเลี้ยวไปอีกทาง ทำให้วุ่นวาย ตะโกนเรียกกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งที่สำคัญคนที่หลงคือคนที่เคยมาแล้วครั้งแรก โดนแซวกันไปอีกนานนนน
หลังจากผ่านป่าทึบมาได้สักระยะ เราก็จะเจอทุ่งนา โดยที่เราก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะเจอนาแอบซ่อนอยู่ในนี้ ครั้งแรกที่เราไปเป็นฤดูฝน ทุกอย่างดูเขียวขจี สดชื่นมาก ต้นข้าวกำลังโต ต่างจากครั้งที่สองที่ผ่านไปเพียงเดือนเดียว ข้าวสุกและถูกเกี่ยวก่อนเรามาไปเรียบร้อย น่าเสียดายเพราะถ้าเห็นตอนข้าวเหลืองเต็มนาคงน่าจะสวยไปอีกแบบ ซึ่งเราก็ใช้เวลาเดินจากจุดนี้อย่างช้าๆ รอๆ ไปพร้อมกัน เผื่อมีคนหลงทางอีก
หลังจากจุดนี้ ก็เดินกันเรื่อยๆ ไม่ได้รีบเร่ง มีขึ้นเนินบ้างบางช่วง ผ่านต้นไม้ใหญ่ พุ่มไม้ เห็นวิวบางช่วง ทางเดินค่อนข้างเห็นชัดเจน เพราะเหมือนเป็นทางสัญจรประจำ เรายังเจอชาวบ้านขับมอเตอร์ไซค์สวนไปบ้างเป็นระยะๆ
บรรยากาศครั้งแรกชุ่มชื่นเพราะมีฝนตกปรอยๆ บ้าง แถมมีเพลงฟังตลอดจากพี่นำทาง ร้องได้ประโยคเดียวจริงๆ วนไปวนมา ดูเป็นคนอารมณ์ดีและแต่งตัวเป็นเอกลักษณ์มาก เสื้อกันฝนสีเจ็บกับหมวกอาบน้ำพลาสติกสีสดใส และครั้งนี้เราขึ้นไปกางเต้นท์นอนข้างบน ซึ่งจุดนี้มองเห็นวิว ทิวเขาได้ดี เราได้เห็นแค่ช่วงแรกที่ไปถึง หลังจากนั้นก็เจอแต่หมอกกับฝน ที่ตกตั้งแต่เรายังกางเต้นท์ไม่เสร็จ คืนนั้นทั้งม ทั้งฝนกระหน่ำซะเรานอนหนาวกันอยู่ในเต้นท์กว่าจะออกมาอีกทีก็สายแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรเลย ฟ้าขาวไปหมด เราตัดสินใจเดินลงและบอกกันว่าจะมาใหม่
ครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกสิ้นเชิง ฟ้าเปิด ใสมาก และครั้งนี้เราเดินมาถึงเร็วกว่าครั้งก่อนและกางเต้นท์นอนอยู่ข้างล่าง และเดินตามทางขึ้นไปยังจุดชมวิว บางช่วงก็เดินตามสันเขาไปเรื่อยๆ แดดร่ม ลมตกแล้ว ในที่สุดเราก็มาถึง เห็นหัวช้างอยู่ไกลๆ
ตอนนี้เราอยู่ที่ตัวช้างละ หลังจากกระหน่ำถ่ายรูปกันจนหนำใจ เพราะฟ้าแจ่มมาก พวกผู้ชายก็เดินขึ้นไปที่หัวช้าง ส่วนผู้หญิงก็ได้แต่รอชมพระอาทิตย์ตกได้แค่ตรงนี้ มองตาปริบๆ เราไปเที่ยวถ้ามีข้อห้ามก็ต้องทำตาม
แสงยาวเย็นไม่ว่าจะมองจากมุมข้างล่างรึข้างบนก็สวยไม่แพ้กัน เพราะครั้งนี้เหมือนฟ้าเป็นใจ แสงสวยมาก พอมืดดาวกเต็มฟ้าเลย ซึ่งจากมุมบนจะสามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศาเห็นทั้งดวบนฟ้าและดาวบนดิน
ยามเช้าของวันรุ่งขึ้นเราออกจากเต้นท์แบบยังไม่สว่าง เดินไปตามทางเดิมที่เดินมาเมื่อวาน ทุกคนประจำที่ ผู้ชายขึ้นไปชมวิวข้างบนเหมือนเดิม ซึ่งบนนี้มีเจดีย์ก้อนหินที่นำมากองไว้กว่า 100 ปี ผู้หญิงก็เป็นแบบให้ถ่ายรูปอยู่ข้างล่าง เราอยู่ตรงนี้จนสายก็เดินลงกลับเต้นท์และเดินทางกลับ
มิใช่…แค่ปลายทาง
ที่นี่เต็มไปด้วยดอกไม้ ใบหญ้า ที่ยังคงไว้ยังความอุดมสมบูรณ์ ชุ่มฉ่ำ อิ่มเอมอิ่มเอมใจ คุ้มค่ากับที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง แม้เพียงระยะเวลาผ่านไปแค่ 1 เดือนหลายสิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างก็ต่างกันหลายอย่าง แต่งดงามเหมือนกัน
เก็บตก
ครั้งแรกเราใช้เวลาอยู่ในเต้นท์มากกว่าข้างนอก เพราะสภาพอากาศหนาวเย็นจากลมและฝนจนเราไม่สามารถนั่งอยู่ข้างนอกได้จริงๆ แต่พอลงมาข้างล่างฟ้าเปิดสวยงาม ส่วนช่วงขากลับรถติดหล่มจนทุกคนต้องลงไปช่วยกัน ยกเว้นเราที่ยังคงสนุก ทริปนี้เป็นของไจแอ้นท์ที่บอกเราว่าหน่อไม้มันมาจากต้นกล้วย และชี้ต้นสาวรสบอกว่ามันคือมะเขือ บอกได้คำเดียวว่าฮากันลั่น ส่วนครั้งที่สองไจแอ้นท์ก็ยังรักษาตำแหน่งสร้างวีรกรรมอีกจนได้ คือ ครั้งที่ 2 ไจแอ้นท์หลงทางที่สำคัญหลงไปกับเอ็ม คนจัดทริปที่มาเป็นครั้งที่สองเช่นกัน
เป็นคนชอบไปเที่ยว
"อาสาเที่ยว"
แค่อยากให้คนไปเที่ยว ได้อะไรมากกว่าแค่ไปเที่ยว
www.rsatieow.com
May Macro
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.45 น.